วันนี้ (3 พฤษภาคม) กิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 11.50 น. ได้เกิดเหตุมีบุคคลภายนอกขับขี่รถจักรยานยนต์ พกอาวุธ ฝ่าฝืนมาตรการรักษาความปลอดภัย บุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามภายในเขตการบิน โดยเมื่อได้รับแจ้งเหตุ ศูนย์รักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ได้ติดตามตัวผู้ก่อเหตุผ่านกล้องโทรทัศน์วงจรปิดตลอดเหตุการณ์ พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขับรถยนต์สายตรวจเข้าตามสกัดจับผู้บุกรุก แต่เนื่องจากผู้บุกรุกมีอาวุธ ทางเจ้าหน้าที่จึงต้องใช้กำลังในการควบคุม โดยสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ในเวลา 12.03 น. และนำส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ก่อนที่ผู้บุกรุกจะพยายามหนีเข้าไปในสะพานเทียบอากาศยาน ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุเป็นชายไทย อายุ 34 ปี ขณะจับกุมบุคคลดังกล่าวยังมีอาการมึนเมาจากการเสพยาเสพติด โดยเจ้าหน้าที่สามารถยึดของกลางเป็นสิ่งเทียมอาวุธปืนสั้น และของมีคม (ขวานเหล็ก, กรรไกร) พร้อมด้วยยาบ้า 1 เม็ด
กิตติพงศ์กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ส่งผลต่อการให้บริการผู้โดยสารและเที่ยวบิน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทสภ. ได้ปฏิบัติหน้าที่เข้าระงับเหตุได้อย่างทันท่วงทีและเป็นไปตามขั้นตอน ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ก่อเหตุมีอาวุธ จึงทำให้ผู้ก่อเหตุและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และได้รับการรักษาพยาบาลเบื้องต้น
ขณะที่ผู้ก่อเหตุได้ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุนอกจากจะถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกเข้าไปในเขตพื้นที่หวงห้ามภายในท่าอากาศยานแล้ว จะต้องถูกดำเนินคดีจากข้อหากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ตามมาตรา 19 ด้วยข้อหาใช้อาวุธหรือวัสดุอื่นใดกระทำการอันอาจเป็นอันตรายหรือน่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่าอากาศยานบุกรุก ซึ่งมีระวางโทษหนักอาจถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000-800,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีความผิดในการทำลายทรัพย์สินของท่าอากาศยานจนได้รับความเสียหาย รวมทั้งมีความผิดเนื่องจากเสพและมียาเสพติดไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายอีกด้วย ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ส่งผลให้มีทรัพย์สินส่วนหนึ่งของ ทสภ. ได้รับความเสียหาย โดยตรวจพบประตูกระจกตรงช่องทางเข้าอาคารเทียบเครื่องบินแตกเสียหายจำนวน 2 บาน เนื่องจากผู้บุกรุกได้ใช้อาวุธทุบประตูกระจกเพื่อพยายามหลบหนีเข้าไปในอาคาร แต่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสกัดจับได้เสียก่อน
กิตติพงศ์กล่าวในตอนท้ายว่า ทสภ. ปฏิบัติตามขั้นตอนด้านการรักษาความปลอดภัย โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และผู้โดยสารเป็นสำคัญ