นายกรัฐมนตรีฉวยจังหวะประชุม UNGA 78 ทาบ ‘บิ๊กคอร์ป’ ลงทุนไทย ทั้ง Tesla, Google, Microsoft และ BlackRock มีหุ้นได้ประโยชน์เพียบ ทั้งนิคมอุตสาหกรรม การสื่อสาร และพลังงาน
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า กรณีที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุม UNGA 78 ให้การสนับสนุนด้าน SDGs และตั้งเป้า Carbon Neutrality ในปี 2593 ร่วมกับประชาคมโลก เพื่อส่งเสริมสันติภาพ สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งข้อเสนอของประเทศไทยมี 4 ประเด็นหลัก คือ
- ส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ผ่านการเจรจากรอบความร่วมมือ FTA
- ส่งเสริมการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมผ่าน BCG Model
- ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ทั้งการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และการใช้พลังงานสะอาด เช่น การติดตั้ง Solar Rooftop
- การให้ทุนสนับสนุนธุรกิจสีเขียวผ่านตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) รวมถึง Thailand Green Taxonomy เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนด้านความยั่งยืน และกระตุ้นให้ธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนสูงมีการตื่นตัวในการดูแลสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
โดยรัฐบาลไทยตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี 2583 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 หรือภายใน 48 ปีหลังจากนี้ มีการพูดคุยกับหลายบริษัทระดับโลก และจะนัดกันอีกในการประชุม APEC
นอกจากจะไปร่วมอภิปรายประเด็นด้านความยั่งยืนแล้ว นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยได้มีการพูดคุยกับบริษัทเอกชนหลายแห่ง เช่น Tesla, Google, Microsoft, Citibank, JP Morgan, BlackRock และ Estee Lauder เพื่อชักชวนให้เข้าลงทุนทางตรง (FDI) ในไทย มูลค่าการลงทุนประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์ต่อดอลลาร์ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เพื่อผลักดันให้บริษัทไทยไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งทุกบริษัทล้วนให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทย ทั้งในด้านเทคโนโลยีและการเงิน ซึ่งหลังจากนี้คณะทำงานจะไปพิจารณาข้อเสนอเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนโดยเร็วที่สุด และคาดว่าจะมีการสานต่อประเด็นที่เจรจาค้างไว้
รวมถึงการเจรจาเพิ่มเติมกับอีกหลายบริษัทในการประชุม APEC ระหว่างวันที่ 11-17 พฤศจิกายน 2566 ที่สหรัฐฯ ด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีตั้งเป้า GDP โตแบบ Aggressive สุดในรอบ 10 ปี โดยนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า จะกระตุ้น GDP ให้โตเฉลี่ย 5% ต่อปีในช่วง 4 ปีข้างหน้า และตั้งเป้าโตเร่งขึ้นระดับ 6-7% ต่อปี ในระหว่างปี 2569-2570 ผ่านการกระตุ้นการลงทุนทางตรงของนักลงทุนต่างชาติ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทายเมื่อเทียบกับ GDP ช่วง 10 ปีย้อนหลังของไทย โดยไม่นับช่วงโควิดระบาดที่โตเฉลี่ยเพียง 2.9% ต่อปี
ขณะเดียวกันยังให้ความเห็นต่อกรณีตลาดหุ้นไทยที่อ่อนตัวลงช่วงนี้ เป็นผลจากกระแสเงินทุนที่ไหลออกเพราะส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่คาดว่าจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ภายใน 6 เดือน ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังทำอยู่
ทั้งนี้ บล.หยวนต้า มีมุมมองเชิงบวกต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนของรัฐบาลชุดใหม่ โดยประเมินว่า ความพยายามของรัฐบาลในการเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนจะช่วยจำกัด Downside ให้กับภาวะเศรษฐกิจและ SET Index ในช่วงที่เหลือของปี 2566 โดยเมื่อเม็ดเงินลงทุนผ่าน BOI เร่งตัวขึ้น ซึ่งคาดว่าเป็นปี 2567 จะเปิด Upside ให้ SET Index กลับมา Outperform ภูมิภาคได้อย่างโดดเด่น เนื่องจากยอดขอ BOI และ Outperform เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันในระดับสูงราว 65%
ส่วนกลุ่มที่ได้ Sentiment เชิงบวกจากการประชุม UNGA 78 และสามารถเก็งกำไรระยะสั้นในช่วงนี้ได้คือ นิคมอุตสาหกรรม WHA, AMATA และ ROJNA, โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร ADVANC, TRUE, THCOM, SYMC, ITEL, BE8 และ I2 และพลังงานสะอาด โดยเฉพาะ Solar Rooftop เช่น GUNKUL, SSP และ KJL