เมื่อผู้บริโภคยุคมิลเลนเนียลมีความสนใจมากขึ้นที่จะรู้ว่า อาหารของพวกเขามาจากที่ใด อาหารนั้นเติบโตอย่างไร มีการผลิตอย่างยั่งยืน และมีจริยธรรมหรือไม่ นั่นเป็นการบังคับให้บริษัทอาหารและผู้ค้าสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในโลกบางแห่ง ต้องมีความโปร่งใสมากขึ้นเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานของตน และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหันมาใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย
Starbucks เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ลุกขึ้นมาทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยต่อไปคอกาแฟสามารถรู้ได้เลยว่า เมล็ดกาแฟที่ตัวเองซื้อมานั้นถูกปลูกขึ้นที่มุมไหนของโลก ได้รับการคั่วจากโรงคั่วแห่งไหน ในขณะที่เกษตรกรผู้ผลิตก็สามารถตรวจสอบได้เช่นกันว่า ผลผลิตที่เฝ้าฟูมฟักถูกขายไปที่ใด
ลูกค้าสามารถนำรหัสบนถุงไปค้นหาบนเว็บไซต์ ซึ่งมีเบื้องหลังเป็น ‘เทคโนโลยีบล็อกเชน’ ที่ถูกพัฒนาโดยเจ้าพ่อซอฟต์แวร์ Microsoft ที่ช่วยให้ Starbucks สามารถนำข้อมูลที่รวบรวมมานานกว่าทศวรรษแสดงผลขึ้นมาได้ และเป็นการย้ำเตือนให้ผู้บริโภคได้ทราบว่า “Starbucks รู้ว่ากาแฟทั้งหมดของ Starbucks มาจากที่ไหน” Michelle Burns รองประธานอาวุโสระดับโลกด้าน กาแฟ ชา และโกโก้ ของ Starbucks กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายอยู่บ้าง โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร เพราะบางครั้งกาแฟ 1 ถุงมาจากแหล่งผลิตที่หลากหลาย แต่ Starbucks ย้ำว่าจะลงลึกในข้อมูลที่สุดเท่าที่จะทำได้
สำหรับเกษตรกรนั้นการอยากรู้ว่ากาแฟของตัวเองได้ถูกขายที่ไหนทำได้ง่ายๆ เพียงกรอกรหัสในแล็ปท็อปหรือเดสก์ท็อปเครื่องใดก็ได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ในบราซิล หรือเป็นเกษตรกรรายย่อยในแอฟริกา เช่น เอธิโอเปียหรือรวันดา ก็รู้ข้อมูลได้เช่นกัน
เบื้องต้นรหัสดังกล่าวจะถูกตีพิมพ์ลงบนถุงกาแฟที่จำหน่ายในร้าน Starbucks ทั่วสหรัฐอเมริกาก่อน ส่วนประเทศอื่นๆ ยังไม่มีการเปิดเผย ขณะเดียวกันการค้นหาดังกล่าวยังไม่สามารถทำได้สำหรับถุงกาแฟที่ซื้อนอกร้าน Starbucks หรือลงลึกระดับแก้ว ซึ่งเมื่อถูกถามว่าจะมีการขยายธุรกิจนี้หรือไม่ Starbucks ก็ตอบแต่เพียงว่า “เราเพิ่งเริ่มต้น”
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: