×

รู้จัก AI นักวาดภาพหน้าใหม่ที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน ผู้ถูกเปรียบเปรยว่าเป็น ‘การนำไฟจากพระเจ้าแห่งการสร้างสรรค์มาสู่โลก’ แต่มาพร้อมความเสี่ยงครั้งใหญ่ไม่แพ้กัน

06.10.2022
  • LOADING...
Stable Diffusion AI

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ปัจจุบันมีการคิดค้นระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถสร้างสรรค์ภาพคุณภาพสูงในระดับงานศิลปะ ชนิดที่เคยมีการใช้ภาพที่ AI วาดแล้วชนะการประกวดผลงานศิลปะจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ถกเถียงอย่างเร่าร้อนมาแล้วถึงการตีความของคำว่า ‘ศิลปะ’ และ ‘ศิลปิน’
  • ผู้ให้บริการหน้าใหม่รายนี้คือ Stability AI ที่มาพร้อมกับของวิเศษอย่างโปรแกรมวาดภาพ (Image Generation) อย่าง Stable Diffusion ซึ่งเป็นบริการแบบ Open Source เปิดกว้างสำหรับทุกคนอย่างแท้จริงโดยไม่มีตัวกรองอะไรทั้งนั้น
  • แต่การเปิดกว้างของ Stable Diffusion ที่ยอมให้ใครใช้ก็ได้ก็กลายเป็นประเด็นปัญหาขึ้นมา เพราะมันมีผู้ใช้ใจทรามที่เอาเทคโนโลยีล้ำๆ นี้ไปใช้ในทางที่น่ารังเกียจ แต่ประเด็นที่สำคัญสุดคือ การวาดภาพเลียนแบบภาพที่มีลิขสิทธิ์

ใครจะไปกล้าคิดว่ามันจะมีวันที่มนุษย์แค่พิมพ์คำลงไปไม่กี่คำและในอีกไม่กี่อึดใจพวกเขาก็จะได้ผลงานศิลปะสุดวิจิตรกลับมาเป็นของตอบแทน

 

เรื่องที่เหมือนกับนิยายวิทยาศาสตร์หรือการ์ตูนในวัยเด็กกลายเป็นความจริงขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้วและเริ่มเป็นที่รับรู้ในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าปัจจุบันมีการคิดค้นระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถสร้างสรรค์ภาพคุณภาพสูงในระดับงานศิลปะ ชนิดที่เคยมีการใช้ภาพที่ AI วาดแล้วชนะการประกวดผลงานศิลปะจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ถกเถียงอย่างเร่าร้อนมาแล้วถึงการตีความของคำว่า ‘ศิลปะ’ และ ‘ศิลปิน’

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

แต่ก่อนหน้านี้การที่ผู้ใช้งานจะเข้าถึงระบบนี้ได้นั้นยังถูกจำกัดอยู่ในวงแคบ การบริการแบบ ‘แค่พิมพ์แล้วรอรับภาพ’ ยังอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง OpenAI (ผู้ผลิตเครื่องมือ DALL-E) หรือ Google (ในเครื่องมือที่ชื่อว่า Imagen)

 

วัตถุประสงค์ของบริษัทเหล่านี้นั้นไม่ได้มีในเชิงพานิชย์ แต่เป็นการทดสอบขีดความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีทำให้ไม่ได้เปิดกว้างให้ใช้งานได้ทั่วไป อย่าง DALL-E นั้นหากใครสนใจจะสมัครใช้งานต้องเข้าคิวรอยาวเหยียด และหากจะให้วาดรูปเกิน 15 รูปต่อเดือนจะคิดค่าบริการรายเดือนที่เฉลี่ยแล้วตกรูปละ 0.08 ดอลลาร์ ส่วน Imagen นั้นไม่เปิดรับการทดสอบแล้ว

 

เพียงแต่เวลานี้โลกกำลังจะมีบริการวาดภาพโดย AI เจ้าใหม่ ซึ่งจะเป็นเจ้าแรกในวงการที่เปิดกว้างสำหรับทุกคนให้สามารถเข้ามาใช้ได้อย่างแท้จริง และกำลังเขย่าวงการในเวลานี้

 

แล้วเรื่องนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร?

 

AI วาดภาพ

 

รู้จัก Stable Diffusion พู่กันวิเศษด้ามใหม่

โนบิตะนายวาดรูปไม่ได้งั้นเหรอ ไม่เป็นไร ฉันช่วยเอง (ว่าแล้วก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าหน้าท้อง) นี่ไง ‘พู่กันวิเศษ’

 

บรรทัดข้างบนนั้นคือความรู้สึกที่เหมือนย้อนกลับไปในความทรงจำวัยเด็กของผู้เขียนจริงๆ เมื่อได้รู้ว่าบริการวาดภาพอัตโนมัติด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์จากผู้ให้บริการหน้าใหม่นั้นจะเปิดกว้างสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง

 

ผู้ให้บริการหน้าใหม่รายนี้คือ Stability AI ที่มาพร้อมกับของวิเศษอย่างโปรแกรมวาดภาพ (Image Generation) อย่าง Stable Diffusion ซึ่งเป็นบริการแบบ Open Source เปิดกว้างสำหรับทุกคนอย่างแท้จริงโดยไม่มีตัวกรองอะไรทั้งนั้น

 

ลูกเด็กเล็กแดง ผู้เฒ่าผู้แก่ ใครก็สามารถใช้ Stable Diffusion ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์แรงๆ ไว้ประมวลผล หรือมีความรู้ทางเทคนิคอะไรมากมาย เพราะสิ่งที่ต้องทำนั้นมีเพียงแค่การพิมพ์คำที่ต้องการลงไป และรอลุ้นว่าจะได้ภาพแบบไหนออกมา

 

บริการนี้เพิ่งจะเริ่มเปิดตัวในสาธารณะเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยม จากดังแบบเงียบๆ และตอนนี้เริ่มดังในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ชื่นชอบผลงานศิลป์ของ AI ที่เรียกว่า AI Art Community

 

อีมัต มอสทาค (Emat Mostaque) ซีอีโอแห่ง Stability AI บริษัทผู้อยู่เบื้องหลัง Stable Diffusion บอกแบบขำๆ ว่า “ความจริงก็คือมันเป็นเทคโนโลยีจากเอเลี่ยนที่มอบพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้มา

 

“เราได้เห็นเด็กอายุแค่ 3 ขวบไปจนถึงคนแก่อายุ 90 ปี สามารถที่จะ ‘สร้างสรรค์’ ได้เป็นครั้งแรก” มอสทาคกล่าวถึงแง่ดีก่อนจะพูดถึงแง่ร้ายในประโยคต่อมาว่า “แต่เราก็ได้เห็นคนที่พยายามสร้างสิ่งที่น่ารังเกียจขึ้นด้วยเช่นกัน

 

AI วาดภาพ

 

สิ่งที่ทำให้ Stable Diffusion แตกต่างจากบริการเจ้าอื่น

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง Stable Diffusion กับ AI Art Generator เจ้าอื่น คือการที่พวกเขามุ่งเน้นให้เป็นบริการแบบ Open Source ซึ่งแม้แต่ Midjourney บริการวาดภาพโดย AI ที่ฮอตและฮิตที่สุดก็ยังไม่เปิดกว้างเท่านี้

 

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทางด้าน Stability AI จะทำโดยไม่หวังอะไร ในทางตรงกันข้ามพวกเขามีการจัดประเภทการให้บริการที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่ในกลุ่มที่เปิดให้ทดลองใช้งานแบบฟรีๆ (ซึ่งช้าและมักจะล่มบ่อย) ไปจนถึงการให้ใช้ซอฟต์แวร์ DreamStudio ในเวอร์ชันเบตาที่เร็วและง่ายกว่ามาก แต่หากใช้เกินจำนวนที่กำหนดก็จะถูกชาร์จค่าบริการ

 

ส่วนที่สำคัญที่สุดกลับเป็นเวอร์ชันเต็มที่ทุกคนสามารถดาวน์โหลดได้และสนุกไปกับมัน ซึ่งด้วยความเป็น Open Source ทำให้นักพัฒนาคนนอกสามารถเข้ามาช่วยทำให้ซอฟต์แวร์นี้โหลดและใช้ง่ายขึ้นด้วย โดยตอนนี้มีเวอร์ชันสำหรับ macOS ที่สามารถติดตั้งได้ด้วยการคลิกแค่ครั้งเดียว เพียงแต่การจะสร้างภาพบนเครื่อง Mac ได้รับการเตือนว่าจะใช้เวลาที่ยาวนานมาก

 

การเปิดกว้างนี้เป็นกลยุทธ์ที่มอสทากเชื่อว่าจะทำให้ Stable Diffusion มีการพัฒนาที่รวดเร็วกว่าคู่แข่งเจ้าอื่น ซึ่งหากเข้าไปในฟอรัมที่ Reddit จะพบว่าผู้ใช้ไม่ได้แค่แชร์ภาพที่ได้จาก AI เท่านั้น (ซึ่งก็ยังเป็นส่วนที่สนุกอยู่ดี) แต่ยังมาพร้อมกับคู่มือการทดลองใช้งานโปรแกรมและการหาวิธีที่จะนำเครื่องมือนี้ไปใช้อย่างสร้างสรรค์

 

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือการที่มีผู้ใช้คนนึงที่สร้าง Plug-In ใน Photoshop ที่จะทำให้สามารถใช้ Stable Diffusion เพื่อช่วยวาดภาพขึ้นมา ซึ่งผู้ใช้ได้วาดภาพด้วยลายเส้นแบบคร่าวๆ เป็นภาพร่างเท่านั้น และปล่อยให้ AI ช่วยแต่งเติมและแต่งแต้มส่วนที่เหลือ ก่อนที่ผู้ใช้จะมาเก็บรายละเอียดอีกครั้ง

 

เรียกได้ว่าเป็นการเปิดประตูมิติให้แก่วงการศิลปะดิจิทัลให้กว้างขึ้นไปอีก ในระดับที่ผู้ใช้งานพูดกันว่า “นี่ขนาดเปิดตัวแค่ไม่นานนะ โลกในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะไม่เหมือนเดิมแน่นอน”

 

ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงหรือต่ำอยู่ที่ทำตัว

แต่การเปิดกว้างของ Stable Diffusion ที่ยอมให้ใครใช้ก็ได้ก็กลายเป็นประเด็นปัญหาขึ้นมา

 

เพราะมันมีผู้ใช้ใจทรามที่เอาเทคโนโลยีล้ำๆ นี้ไปใช้ในทางที่น่ารังเกียจ เช่น การสั่งให้ AI สร้างภาพที่รุนแรง หรือภาพที่ส่อไปในทางลามกอนาจาร และคนที่ซวยเต็มๆ คือบรรดาบุคคลที่มีชื่อเสียง เซเลบริตี้ ดารา นักร้องที่ตกเป็นเหยื่ออธรรมแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

ทางด้าน Stability AI ยืนยันว่าพวกเขาเองก็พยายามที่จะควบคุมในเรื่องนี้โดยมีการใช้การกรองคำเพื่อขวางไม่ให้ผู้ใช้สร้างผลงานที่ผิดวัตถุประสงค์ (ยกตัวอย่างเช่น มีการแบนคำว่า Nazi) แต่ปัญหาคือผู้ใช้หัวใสสามารถหาทางลัดผ่านตัวกรองเหล่านี้อย่างง่ายดาย

 

AI วาดภาพ

 

ถึงจะมีปัญหานี้ทางด้านมอสทาคก็ยังเชื่อมั่นว่า Stable Diffusion มีประโยชน์มากกว่าโทษ และผลงานในทางที่เลวร้ายนั้นเป็นความรับผิดชอบของตัวบุคคลไม่ใช่ของ AI ซึ่งเขายังเชื่อว่าผู้ใช้ใจทรามนั้นยังมีจำนวนที่น้อยกว่าผู้ใช้ดีๆ ปกติทั่วไปมาก

 

“ถ้าจะเริ่มใช้ตัวกรองอะไรบางอย่างแล้วจุดจบมันจะอยู่ตรงไหน?” มอสทาคยังมั่นใจในจุดยืนของ Stability AI และ Stable Diffusion ว่าสิ่งที่พู่กันวิเศษของพวกเขานั้นสร้างสรรค์ในสิ่งที่ดีมากกว่าร้าย

 

แต่ประเด็นที่หนักข้อกว่านั้นคือการใช้ AI วาดภาพเลียนแบบภาพที่มีลิขสิทธิ์ ซึ่งมีตั้งแต่ผลงานของศิลปินที่ยังไม่ดังไปจนถึงมาสคอตของบริษัทขนาดใหญ่ สั่งมา AI ก็มีหน้าที่แค่ทำตามเท่านั้น และเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มีการกรองไว้อย่างดีนัก

 

นั่นหมายถึงมีคนที่ใช้ Stable Diffusion ในการ ‘ก๊อบงาน’ ขึ้นมา ซึ่งอาจจะยังไม่ถึงกับเหมือนเป๊ะแต่ก็ดูน่ากังวลใจสำหรับศิลปินจริงๆ ที่ใช้ทั้งแรงกาย แรงใจ ยันจิตวิญญาณในการสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาผ่านการขัดเกลาตัวเองเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ AI สามารถทำเลียนแบบพวกเขาได้ในระยะเวลาอันสั้น และคนที่สั่งนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าแค่พิมพ์คีย์เวิร์ด

 

โดยตัวระบบแล้ว Stable Diffusion จะถูกฝึกฝนผ่านฐานข้อมูลขนาดยักษ์เพื่อเรียนรู้ไปเรื่อยๆ โดยแหล่งที่ใช้ข้อมูลคือ LAION-5B ที่มีการเก็บภาพเอาไว้มากกว่า 5 พันล้านภาพที่รวบรวมจากเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Pinterest, Flickr, DeviantArt และ Tumblr ไปจนถึงสต๊อกภาพขนาดยักษ์อย่าง Getty Images และ Shutterstock เพียงแต่ปัญหาคือ Stable Diffusion นั้นยังหละหลวมอยู่มากในเรื่องนี้

 

สิ่งที่มอสทาคบอกก็ยังคงยืนยันว่าบริการของพวกเขานั้นทำเพื่อทุกคน ให้ใครก็สามารถใช้ได้ และถ้าจะมีใครที่ละเมิดลิขสิทธิ์คนอื่นมันก็คือความรับผิดชอบของผู้กระทำเอง

 

Stability ระบุว่าในอนาคตอาจจะเปิดให้ศิลปินส่งพอร์ตโฟลิโอผลงานเข้ามาในระบบเพื่อเป็นตัวกรองผลลัพธ์ แต่มันจะเป็นแค่ ‘ทางเลือก’ ไม่ใช่ ‘การบังคับ’ ผู้ใช้งาน

 

สำหรับในอนาคตเป้าหมายของ Stability AI และ Stable Diffusion นั้นนอกจากจะต้องการเงิน (ที่คาดว่าจะตามมามหาศาลในอนาคต) ความปรารถนาของพวกเขาคือการปฏิวัติโลกของ AI เขย่าบัลลังก์ของบรรดายักษ์ใหญ่ที่พัฒนาสิ่งเหล่านี้อย่างเงียบๆ งุบงิบรู้กันไม่มากด้วยการเปิดเผยทุกอย่างให้โลกรู้ไปเลย

 

มอสทาคเชื่อว่าเมื่อ Stable Diffusion เปิดตัวอย่างเป็นทางการแบบนี้แล้ว เจ้าอื่นก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าร่วมวงด้วย และที่สำคัญ AI จะแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในซิลิคอนแวลลีย์อีกต่อไป

 

เขาหวังว่าจะมีนักพัฒนาจากชาติต่างๆ ทั่วโลกที่ศึกษาเรื่องนี้และพัฒนาโมเดลของตัวเองขึ้นมา ซึ่งจะเป็นการ Decentralize และสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของมนุษยชาติ ไม่ใช่เป็นกระจกสะท้อนของชาติตะวันตกเหมือนที่ผ่านมาอีก

 

Stable Diffusion ในคำขยายความของมอสทาค? 

 

AI ที่ ‘นำไฟจากพระเจ้าแห่งการสร้างสรรค์มาสู่โลก’

 

ที่เหลือว่าโลกจะอบอุ่นหรือถูกแผดเผาจนหมดสิ้นก็อยู่ที่มือและหัวใจของมนุษย์กันเองนี่แหละ

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising