×

เศรษฐายังไม่พอใจผลงาน 7 เดือน รับปรับตัวเยอะ พร้อมอุทิศตนเพื่อประชาชน ยอมเสียเพื่อนหากทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน

โดย THE STANDARD TEAM
15.04.2024
  • LOADING...

วานนี้ (14 เมษายน) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่มีความล่าช้า ทำให้หลายนโยบายของรัฐบาล เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ถูกขยับออกไป ว่า ไม่อยากโทษเรื่องงบประมาณล่าช้า เพราะหากย้อนไปในการจัดตั้งรัฐบาลที่ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ถือว่านานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่งบประมาณปี 2567 จะสามารถใช้ได้จริงในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ 

 

นายกฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเราต้องการเม็ดเงินใหม่ 560,000 ล้านบาท เพราะเราประกาศว่าทุกคนจะต้องได้หมด เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค และมีหลายภาคส่วนที่เราต้องรับฟัง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นักวิชาการต่างๆ รวมไปถึงการตั้งหลักเกณฑ์เงื่อนไขต่างๆ จนกระทั่งเราบริหารจัดการตรงนี้ให้มันมาจริงๆ ยืนยันว่าไตรมาส 4 นี้ได้อย่างแน่นอน ทุกอย่างทุกขั้นตอนตรวจสอบได้ สุจริตบริสุทธิ์ใจ มั่นใจว่าไม่มีอะไรมาทำให้ต้องเลื่อนออกไปอีก

 

ส่วนผลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น นายกฯ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 1-2 ของปีหน้าจะเห็นผล และนโยบายการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นเรือธงในการกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยระหว่างทางที่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้ รัฐบาลจะมีนโยบายอื่นๆ ตามที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เช่น การสร้างถนน การดูแลเกษตรกรให้ไม่ท่วมไม่แล้ง 

 

เมื่อถามว่า ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลให้เงินมากเกินไปจนสุดท้ายไม่ได้อะไรนั้น นายกฯ กล่าวว่า “ชัดเจนว่าเราบอกว่าทำครั้งเดียว แต่การเติมเงินเข้าไปในกระเป๋าทุกๆ คน แต่ครั้งนี้มีการจำกัดประเภทสินค้า ระยะทางที่สามารถใช้ได้ เราต้องการที่จะให้อำเภอเล็กๆ ในจังหวัดต่างๆ ได้ลืมตาอ้าปากด้วย มีโอกาสในการจับจ่ายใช้สอยเงินด้วย และมั่นใจว่าเรามาถูกทาง”

 

พร้อมเสียเพื่อนหากทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน

 

นายกฯ ยังเปิดใจถึงการทำงานในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมาว่า มีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเยอะ เพราะหลายปัญหาของประชาชนยังไม่ได้รับการแก้ไข ยอมรับว่ายังไม่พึงพอใจ แต่ก็ต้องพยายามต่อไป และทำให้ทุกอย่างดียิ่งขึ้น ซึ่งตนต้องปรับตัวอย่างมากจากภาคธุรกิจสู่วงการการเมือง เป็นนายกฯ ที่มี 141 เสียง เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค มีผู้ร่วมงานที่ต่างกัน ทั้งประชาชน, สส., สว., สถาบันความมั่นคง, NGO และนักข่าว 

 

หลายภาคส่วนต้องการการพูดคุยและการอธิบาย ซึ่งแต่ละพรรค สส. แต่ละคน สัญญากับประชาชนแตกต่างกันไปบ้าง ทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ช้าไปบ้าง แต่การทำงานร่วมกันมา 7 เดือนเชื่อว่าเรารู้ใจกัน มีการให้เกียรติกันและกัน การขับเคลื่อนและบริหารจัดการประเทศ และการช่วยเหลือประชาชนก็จะค่อยๆ ดีขึ้น 

 

เมื่อถามว่า มาเป็นนายกฯ มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจ ย่อมหนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเอื้อประโยชน์ มีวิธีปกป้องตัวเองไม่ให้มีคนเข้ามาขอผลประโยชน์อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า หน้าที่ของตนไม่ใช่การเซฟตัวเอง ตนมั่นใจอยู่แล้วที่เดินมาสู่การเมือง มีจุดมุ่งหมายเดียวคือการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนในทุกมิติให้ดีขึ้น เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนตนไม่มีแน่นอน ทั้งนี้ เชื่อว่าประสบการณ์ในวงการธุรกิจ 40 กว่าปี รวมทั้งข้อมูลจากเพื่อนนักธุรกิจและเพื่อนการเมือง จะเยอะพอที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อประชาชน

 

“เมื่อได้ประกาศว่าอุทิศตนแล้ว และบอกเพื่อนฝูงว่าเรื่องต่างๆ ที่จะมาขัดขวางในการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้นหรือสภาพจิตใจถูกเอาเปรียบจากผู้ที่ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย หากเพื่อนผมทำตัวแบบนั้นก็พร้อมที่จะเสียเพื่อน เพราะฉะนั้นมั่นใจว่าหากอีก 3 ปีครึ่งต้องมีเพื่อนน้อยลงแลกกับการที่ทำให้คนที่อยู่ในฐานพีระมิดดีขึ้น ผมก็พร้อม” นายกฯ กล่าว

 

ชมฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลได้ดี 

 

เมื่อถามถึงการทำงานของฝ่ายค้าน นายกฯ กล่าวว่า ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ได้ดี เป็นการเตือนสติ ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านอยู่แล้วที่ต้องมาดูแลเรื่องการใช้งบประมาณของรัฐบาล สิ่งใดที่ทำได้ไม่ดีก็พร้อมรับไปพิจารณาปรับปรุง อะไรที่มีขีดจำกัดก็จะพักไว้ก่อน เชื่อว่าตนเองมีความเข้าใจ พยายามแยกแยะ ไม่โฟกัสเรื่องที่ไม่ถูกต้องหรืออะไรที่เป็นเกมการเมืองมากเกินไป แต่จะไปโฟกัสเรื่องคำแนะนำที่เป็นผลดีกับประชาชน และอยู่ในช่วงเวลาที่สามารถทำได้ ส่วนฝ่ายค้านเล่นการเมืองมากไปหรือไม่ ขอให้ประชาชนเป็นคนตัดสินดีกว่า เพราะไม่อยากสร้างประเด็นทางการเมือง 

 

รับต้องปรับจูน สส. เพื่อไทย หลังเสียงสะท้อนมีระยะห่าง

  

นายกฯ ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์กับ สส. พรรคเพื่อไทยที่ยังมีเสียงสะท้อนจากภายในพรรคว่าระหว่างนายกฯ กับ สส. มีระยะห่างกันมาก โดยส่วนหนึ่งมาจากการเข้มงวดเรื่องงบประมาณ ว่า ตนในฐานะนายกฯ มีหน้าที่ดูแลภาษีของประชาชน และมีหน้าที่ตอบกับรัฐสภาว่าภาษีนั้นมีการใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่ จึงอยากค่อยๆ ทำ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป 

 

นายกฯ กล่าวอีกว่า หน้าที่ของตนเองก็ต้องปรับจูนระหว่างตนเองกับ สส. ของพรรคตลอดเวลา เพราะตนเองต้องหลังพิงประชาชนซึ่งเป็นคนที่ส่งให้ตนเองมายืนอยู่ตรงนี้ และต้องผ่าน สส. ที่มีถึง 141 คน พยายามอธิบายให้เข้าใจเหตุผลที่ให้ได้และให้ไม่ได้ หรือทำไมต้องได้งบประมาณน้อยลงหรือเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน เพราะตนเองเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน ซึ่งในสัปดาห์หน้าตนเองจะลงพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ต ไปดูการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4 

 

ส่วนเรื่องการบริหารอารมณ์นั้น นายกฯ กล่าวว่า คนเราก็เป็นคนก็มีอารมณ์บ้าง และตนเองไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ เข้าใจว่าถ้าเป็นนายกฯ ต้องไม่มีสิทธิ์เลือกโกรธ ต้องพยายามรับฟัง ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้ดี ก็พยายามทำให้ดียิ่งขึ้นอยู่ บางเรื่องก็เข้าใจได้ ก็พยายามฝึกกันต่อไป

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising