×

5 ร้านในซอยลึก แต่ไม่ลับ ที่ซ่อนตัวอยู่ใจกลางเมืองย่านพร้อมพงษ์-ทองหล่อ [Advertorial]

22.06.2018
  • LOADING...

ทำเลทองใจกลางเมืองอย่างสุขุมวิทเป็นอีกหนึ่งบริเวณที่เต็มไปด้วยสีสันและความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นวันธรรมดาที่ดูเหมือนย่านนี้จะเป็นอีกหนึ่งย่านหลักในกรุงเทพฯ ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ พอพลบค่ำก็พลันกลายเป็นสวรรค์ของการกิน เพราะเป็นย่านที่มีร้านอาหารและบาร์แทบจะทุกซอย และหากมาในช่วงสุดสัปดาห์ คาเฟ่และร้านแฮงเอาต์ก็มักจะเต็มไปด้วยผู้คนทั้งที่พักอาศัยในแถบนี้และเหล่าฮอปปิ้งจากทั่วทุกสารทิศ

 

จริงอยู่ที่ย่านพร้อมพงษ์-ทองหล่อมีร้านอาหารและบาร์มากมาย หากลองลิสต์จำนวนก็คงไปไม่ไหว แต่ถ้ามาโฟกัสร้านกินดื่มที่ดูลึกลับและซ่อนตัวอยู่ในตึกแถว อาคาร หรือซอยเล็กซอยน้อยในทั้งสองย่านอย่างพร้อมพงษ์และทองหล่อ เราเห็นว่ามี 5 ร้านที่น่าไปลองนั่งกิน ดื่ม เสพดูสักครั้ง

 

1. Gokfayuen

หากจะหาร้านบะหมี่ที่รสชาติและสัมผัสใกล้เคียงฮ่องกงมากที่สุด ไม่ต้องไปไกลถึงร้านอาหารจีนในโรงแรมหรือร้านเหลาต่างๆ เพราะในซอยทองหล่อ 9 มีลิตเติ้ลฮ่องกงซ่อนอยู่ในตึกแถวไม่ไกลจากปากซอยอย่าง Gokfayuen ร้านบะหมี่ฮ่องกงสูตรต้นตำรับที่ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสของเส้นบะหมี่ที่เหนียวกรุบตามแบบฉบับฮ่องกง พร้อมกับน้ำซุปปลาตาเดียวรสกลมกล่อม

 

 

บรรยากาศภายในร้านตกแต่งเช่นเดียวกับร้านอาหารในฮ่องกง บนโต๊ะกลมเตรียมพร้อมด้วยเครื่องปรุง แน่นอนว่ามาที่นี่ต้องสั่งบะหมี่ซึ่งเป็นเมนูขึ้นชื่อ บะหมี่เกี๊ยวกุ้งน้ำ (89 บาท) บะหมี่ไข่เส้นสดที่ทำขึ้นเองของร้าน โดดเด่นด้วยสัมผัสเส้นแบบหนึบเหนียวและกรุบเล็กน้อย หรือที่เรียกกันว่า al-dente ในวงการพาสต้าแบบตะวันตก สัมผัสเส้นแบบบะหมี่ฮ่องกงเช่นนี้หาได้ยากในกรุงเทพฯ แม้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ฝีมือและรสชาติสู้ร้านดังได้สบาย ส่วนเกี๊ยวกุ้งก็เป็นเหมือนสิ่งเติมเต็มให้บะหมี่ชามนี้พาเราไปฮ่องกงได้ในไม่กี่อึดใจ หากไม่ชอบบะหมี่น้ำ ลองสั่งแบบแห้งก็ได้รสชาติบะหมี่ดีไปอีกแบบ แนะนำ บะหมี่หมูแดง (89 บาท) หมูอย่างดีหมักในเครื่องปรุงสูตรเฉพาะกว่าครึ่งวันแล้วนำไปย่างถ่านให้สุกอย่างช้าๆ กินกับบะหมี่ แค่นี้ก็อร่อยแล้ว

 

 

นอกจากเมนูบะหมี่ หากยังรู้สึกไม่อิ่มหรืออยากได้ของกินเล่นเพิ่มเติม ลองสั่ง เกี๊ยวกุ้งราดซอสน้ำมันหอย (139 บาท) ก็ดูเข้าท่าเหมือนกัน ส่วนข้าวหน้าต่างๆ นั้น หนึ่งในจานที่อยากให้ลิ้มลองคือ ข้าวเนื้อตุ๋น (109 บาท) ซึ่งเนื้อผ่านการเคี่ยวและผัดพร้อมซอสถั่วเบลนด์พิเศษจนซอสซึมเข้าเนื้อ แล้วจึงนำเนื้อไปตุ๋นในหม้อนานหลายชั่วโมงจนได้สัมผัสที่เปื่อยนุ่มและรสชาติเข้มข้น

 

ส่วนเครื่องดื่มคงจะเป็นอะไรไม่ได้ นอกจาก ชานมเย็น (39 บาท) ที่ได้สูตรและรสชาติแบบฮ่องกง หวานน้อยและเต็มรสชานมเน้นๆ

 

Gokfayuen

Open: เปิดทุกวัน เวลา 11.00-23.00 น.

Address: ซอยทองหล่อ 9

Contact: 06 2880 9989

Page: www.facebook.com/gokfayuen

 

 

2. The Locker Room

‘Find The Locker Room’ นี่คือคำเชื้อเชิญกึ่งท้าทายให้เราพยายามหาทางเข้าลับที่ซ่อนตัวอยู่ในตึกแถวริมถนนใหญ่ทองหล่อระหว่างซอย 12-14 เราบอกได้เพียงแค่ว่าหากคุณเจอตู้ล็อกเกอร์แล้ว ลองผลักซ้ายขวาแล้วก้าวเข้าสู่บาร์ลึกลับที่เกิดขึ้นจาก 4 จตุรเทพแห่งวงการค็อกเทล โคลิน เชีย จาก Nutmeg & Clove, ฮิเดสึกุ อูเอโนะ จาก Bar High Five ในโตเกียว, นิก วู เจ้าของบาร์ East End จากไทเป และหนึ่ง-รณภร คณิวิชาภรณ์ แห่ง Backstage Cocktail Bar

 

ด้วยสไตล์บาร์ที่เป็นสปีกอีซี่ ไร้ซึ่งป้ายบอกทางและสัญลักษณ์ใดๆ ความสนุกจึงเริ่มตั้งแต่การหาพิกัดร้าน ต่อด้วยการออร์เดอร์เครื่องดื่มจากเมนูเฉพาะที่แบ่งไทม์ไลน์ค็อกเทลเป็น 3 ช่วงคือ Past, Present และ Future อันเริ่มจากค็อกเทลสูตรดั้งเดิม แล้วผ่านการดัดแปลงหรือใช้เทคนิควิธีในการทำอาหารมาเป็นส่วนหนึ่งของการนำเสนอค็อกเทล

 

เริ่มต้นด้วย She Was Ice Cold (410 บาท) แก้วนี้ทวิสต์มาจากสูตรเดิมคือ The White Lady ใช้ดรายจินเป็นส่วนผสมหลัก บวกกับเหล้าส้มโอและน้ำเลมอน เคียงคู่มาพร้อมซอร์เบตรสส้มกับมัสตาร์ดที่เสริมรสซึ่งกันและกัน แนะนำให้ดื่มสลับกับใช้ช้อนตักซอร์เบต แก้วนี้แม้จะสดชื่นและรสชาติค่อนข้างแรงได้ที่

 

 

จาก Rosita ซึ่งเป็นเมนูตั้งต้น ได้กลายมาเป็น Orosita (410 บาท) อีกหนึ่งทวิสต์ดริงก์ดื่มง่ายสำหรับค่ำคืนนี้ เตกีลากับมอสคาโตไซรัปเขย่าจนเข้ากัน ตามด้วยเวอร์มุท เหล้ากุหลาบ และน้ำส้ม ปิดท้ายด้วยเกลือที่โรยบริเวณปากแก้วและแผ่นน้ำตาลสีแดงที่บริเวณก้านแก้ว

 

ส่วนเมนูขายดี Green Day in Bangkok (410 บาท) เบสด้วยรัมตะไคร้และสมุนไพรตามท้องตลาดอย่างขิง มะนาว สะระแหน่ และตะไคร้ แล้วเทจิงเจอร์เอลกับโซดาเพิ่มเติมเข้าไปให้มีรสชาติใสๆ ดื่มได้ตลอดคืน

 

The Locker Room

Address: ระหว่างซอยทองหล่อ 12-14

 

3. Ekamian

หากมาซอยสุขุมวิท 49 ผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะวนเวียนอยู่ช่วงต้นและกลางซอย ใครจะไปรู้ว่าเกือบท้ายซอยนั้นมีอาร์ตสเปซสุดเก๋ที่กลมกลืนอยู่ท่ามกลางชุมชน และยังเป็นเหมือนบ้านเพื่อนที่อยากทำอะไรที่นั่นก็ได้ เรากำลังพูดถึง Ekamian อาร์ตแกลเลอรี เชฟส์เทเบิล และพื้นที่อเนกประสงค์ที่เกิดจากความคิดของเพื่อน 3 คนที่อยากหาจุดเชื่อมโยงระหว่างงานศิลป์กับอาหาร เอาเป็นว่าถ้ามาที่ Ekamian จะได้ทั้งอิ่มตาและอิ่มใจ เสพงานศิลป์ กินเชฟส์เทเบิลอะไรอย่างนั้น

 

6-Course Chef’s Table (1,500 บาท) จะเสิร์ฟเมนูหมุนเวียนจากวัตถุดิบตามฤดูกาลและความคิดสร้างสรรค์ของเชฟ และใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่ปลูก-เลี้ยงโดยชาวบ้านและเกษตรกรรายย่อยนำมาปรุงแต่งและสร้างเป็น 6 คอร์สดินเนอร์ที่ไร้สัญชาติของอาหาร แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวจากผืนน้ำและแผ่นดิน

 

Cold Smoked จานนี้เป็นเต้าหู้รมควันแล้วราดซอสที่ทำจากซีอิ๊วและเปลือกส้ม ซ้อนทับด้วยกรานิตาน้ำสต็อกข้าวโพดกับปลาแห้ง ท็อปด้วยฟางข้าวโพดทอด ให้ความรู้สึกทั้งร้อนและเย็นในคำเดียว

 

 

คอร์สถัดมา Triple C สื่อถึงวัตถุดิบหลัก 3 ชนิด มะพร้าว (Coconut) แตงกวา (Cucumber) และเนื้อปู (Crab) โดยเชฟครีเอตหลนปูออกมาในรูปแบบใหม่ ชั้นล่างสุดคือหลนคัสตาร์ด เคียงข้างด้วยเนื้อปูจากสุราษฎร์ธานี และกุ้งแชบ๊วยขาแดงเผา นอกจากปูและกุ้งก็มีผักและดอกไม้เคียงให้รับประทานร่วมกับหลนด้วย

 

 

River, River คอร์สนี้เป็นกุ้งเผา เชฟใช้กุ้งแม่น้ำไซส์ใหญ่ (4 ตัว 1 กิโลกรัม) จากสมุทรสงคราม แล้วนำไปเผาจนเนื้อสุกกำลังดีและมันกุ้งเยิ้ม ราดซอสหอมใหญ่คาราเมไลซ์กับเปลือกกุ้งเผาตามเข้าไป กินคู่กับพิวเรมันฝรั่ง เปลือกแตงโมดอง และเพิ่มรสเค็มด้วยเกลือมอลดอนจากอังกฤษ

 

หากอยากรู้ว่าคอร์สอื่นเป็นอย่างไร คงต้องไปลองด้วยตัวเองดู

 

 

Ekamian

Open: Art Gallery เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 13.00-24.00 น. / Co-drinking Space เปิดวันอังคาร-พุธ และวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 18.00-24.00 น. / Chef’s Table เปิดวันพฤหัสบดี เวลา 19.00-24.00 น. (จองล่วงหน้าเท่านั้น)

Address: ระหว่างซอยสุขุมวิท 49/17 กับ 49/19

Contact: 08 3789 9091

Page: www.facebook.com/ekamianhustler

 

4. Coastal

เปลี่ยนบรรยากาศไปทรอปิคัลบาร์กันบ้าง แค่ไม่กี่เลี้ยวจากถนนใหญ่สุขุมวิทก็ถึง Coastal บาร์ไม้ไผ่พร้อมนั่งร้านและบรรยากาศสุดชิลที่ชวนให้นึกถึงซัมเมอร์และชายทะเล แม้จะอยู่ใจกลางเมืองย่านสุขุมวิทก็ตาม

 

Coastal คือพื้นที่บริเวณสนามหญ้าหน้า ‘คราม’ ร้านอาหารไทยในบ้านเก่าในซอยพบมิตร แม้จะไม่ได้เป็นสปีกอีซี่บาร์ แต่บรรยากาศและการตกแต่งโดยรวมก็อาจต้องทำให้เราคิดอีกทีว่า “เฮ้ย มีร้านแบบนี้แถวสุขุมวิทด้วยเหรอ” และยิ่งถ้าฟ้าเป็นใจ แดดร่มลมเย็นก็สามารถหยิบเสื่อไปปูนั่งบนสนามหญ้าแทนที่จะนั่งในร่มก็ได้ ชิลแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว

 

 

ค็อกเทลมีทั้งแบบคลาสสิก ทวิสต์ และเมนูพิเศษ เริ่มต้นด้วย Boulevardier (300 บาท) ค็อกเทลที่เป็นเหมือนแฝดของเนโกรนี ต่างกันที่ใช้เบอร์เบินแทนจิน รสชาติยังคงความเข้มข้นเหมือนเดิม เหมาะสำหรับใครที่ดื่มคลาสสิกเป็นกิจวัตรและอยากเปลี่ยนเบสเหล้าดูบ้าง

 

ถัดมาลองเปลี่ยนเป็นแนวสดชื่นดูบ้างกับ Painkiller (280 บาท) ที่ใช้ดาร์กรัมเป็นเบส ผสมน้ำสับปะรดและน้ำส้ม แล้วเพิ่มความหวานจากเกรนาดีนไซรัป ตัดน้ำกะทิออก แค่นี้ก็ดื่มได้แบบไม่เลี่ยน

 

Thai Pirinha (280 บาท) ทวิสต์มาจาก Caipirinha ที่ใช้รัมอ้อยจากบราซิลมาเป็นรัมสัญชาติไทย ผสมน้ำมะนาวเล็กน้อยและไซรัปใบเตย รสเปรี้ยวนำตามด้วยหวาน และปิดท้ายด้วยความหอมของใบเตย ดื่มง่ายสบายๆ เหมาะสำหรับทุกคน

 

Coastal

Open: ทุกวัน เวลา 18.00-24.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 15.00 น.)

Address: ซอยพบมิตร (สุขุมวิท 39)

Contact: 09 8253 9356

Page: www.facebook.com/coastalbkk

 

5. Organika House

จะดีแค่ไหนถ้ามีร้านสวยย่านสุขุมวิทที่ทั้งบรรยากาศสบาย แสงดี อาหารน่ากิน แถมยังมีสปาสำหรับใครที่อยากผ่อนคลายเพิ่มเติม เพราะที่นี่คือ Organika House คาเฟ่ในเรือนกระจกบนชั้น 6 ของโครงการพิมาน 49 ที่แม้เปิดมาได้สักพักใหญ่ แต่ความนิยมไม่เคยลดลงเลย

 

คาเฟ่เรือนกระจกแห่งนี้คือแบรนด์เดียวกับ Organika แบรนด์สปาและเครื่องหอมสัญชาติไทยที่นำเสนอความร่มรื่นของธรรมชาติให้เข้ากับอาหารและเครื่องดื่มได้อย่างพอเหมาะ มีเมนูให้เลือกหลากหลายตั้งแต่บรันช์ไปจนถึงอาฟเตอร์นูนที

 

 

ด้วยความที่ตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคารและเป็นเรือนกระจก ทำให้แสงแดดส่องเข้าร้านอย่างทั่วถึง จะถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด จานแรก Smoked Salmon Eggs Benedict & Waffle (330 บาท) ที่เปลี่ยนจากอิงลิชมัฟฟินเป็นวาฟเฟิล ส่วนไข่เบเนดิกต์มาพร้อมซอสฮอลแลนเดสรสเปรี้ยวนำ รับประทานคู่กับแซลมอนและผักดอง

 

 

ส่วนของหวาน แนะนำ Fancy Flower Panna Cotta (295 บาท) ขนมเบาๆ สีสันสวยงามจานนี้คือพานาคอตต้ากลิ่นลาเวนเดอร์ กุหลาบ และวานิลลา ให้สัมผัสนุ่มเด้ง หวานน้อย กินกับผลเบอร์รีสดเพื่อรสชาติที่ตัดกัน

 

และ Lost in Library (395 บาท) จับคู่ค็อกเทลกับของหวาน แก้วนี้เบสด้วยเบอร์เบินวิสกี้ผสมบิตเทอร์กลิ่นส้มกับไซรัป มากับของหวานอย่าง Bande’ tout Chocolate เค้กช็อกโกแลตเนื้อนุ่มเบา แต่รสชาติเข้มข้น ดื่มค็อกเทลสลับกับตักของหวานเพื่อความเพลิดเพลิน

 

Organika House

Open: วันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 9.30 – 20.30 น., วันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 9.00 – 21.00 น.

Address: ชั้น 6 โครงการพิมาน 49

Contact: 0 2665 1899

Page: www.facebook.com/organikahouse

 

จะเห็นได้ว่า 5 ร้านเหล่านี้ล้วนแต่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับคอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุดซึ่งเป็นคอนโดฯ แบบ Low-Rise ตัวแรกจาก SINGHA ESTATE ในซอยสุขุมวิท 43 ที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวและหลบซ่อนอยู่ใจกลางพร้อมพงษ์-ทองหล่อ โดย SINGHA ESTATE ขออุบชื่อโครงการเอาไว้ก่อน แต่แอบบอกได้เลยว่าจะเป็นแบรนด์ใหม่ที่บุกตลาด Low-Rise โดยเฉพาะ

 

 

คอนโด Low-Rise ใจกลางสุขุมวิทแห่งนี้มาพร้อมคอนเซปต์ชีวิตชีวา ณ​ โลกส่วนตัว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร โดยเน้นย้ำความเป็น Absolute Urban Retreat ตั้งแต่การดูแลเรื่องความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว ความผ่อนคลาย และความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เพื่อการพักผ่อนอย่างมีความสุขและชาร์จพลังสำหรับวันใหม่

 

ด้วยทำเลใจกลางเมืองในซอยสุขุมวิท 43 จุดกึ่งกลางระหว่างย่านพร้อมพงษ์กับทองหล่อ แม้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ที่ตั้งโครงการกลับมีความสงบและเป็นส่วนตัว ซ่อนอยู่ใจกลางเมืองเพียงไม่กี่ก้าวจากปากซอย

 

 

ในส่วนของการออกแบบ SINGHA ESTATE เล็งเห็นความสำคัญของความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้าน จึงดีไซน์คอนโดมิเนียมสูงไม่เกิน 8 ชั้น เน้นพื้นที่พักอาศัยกว้างขวาง เพื่อรองรับพฤติกรรมการพักอาศัยเช่นเดียวกับการอยู่บ้าน โดยการออกแบบทั้งภายนอกและภายในจะเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ คำนึงถึงทิศทางลมและแดด รวมทั้งสัดส่วนระหว่างพื้นที่สีเขียวกับที่พักและจำนวนผู้อยู่อาศัยให้มีความสมดุลและสัมพันธ์กัน

 

 

นอกจากคอนเซปต์โลกส่วนตัวที่ซ่อนอยู่ใจกลางเมือง ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยก็คือสิ่งที่ SINGHA ESTATE ใส่ใจและมุ่งมั่นนำเสนอสิ่งท่ีดีที่สุดเพื่อตอบแทนสมาชิกผู้อยู่อาศัยทุกท่าน รวมถึงการสร้างฟังก์ชันพื้นที่อเนกประสงค์ซึ่งเปรียบเสมือนพื้นที่ส่วนกลางของบ้าน สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลายไม่รู้จบ และยังช่วยเพิ่มโอกาสการพบปะกันระหว่างผู้อยู่อาศัย เกิดเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้อยู่อาศัยด้วยกันและผู้อยู่อาศัยกับพื้นที่และสถานที่


แนวคิดทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างบรรยากาศที่อยู่อาศัยสมัยใหม่ที่เปรียบเสมือนโลกส่วนตัว ทำให้คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ในทุกๆ วัน

 

‘EMBRACE YOUR HIDDEN SELF’ เมื่อคุณได้อยู่อาศัยในที่ที่เป็นเสมือนโลกส่วนตัว จะทำให้คุณได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของคุณที่แอบซ่อนอยู่

FYI
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X