×

สิงคโปร์เตรียมกางโรดแมป หวังประชาชนใช้ชีวิตปกติ (ใหม่) ร่วมกับโควิด เล็งยกเลิกล็อกดาวน์-หยุดนับยอดติดเชื้อรายวัน

โดย THE STANDARD TEAM
04.07.2021
  • LOADING...
singapore

ในขณะที่หลายประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกลับมาใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด อันเนื่องมาจากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา แต่สิงคโปร์กลับกำลังวางโรดแมปในการผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติใหม่ (New Normal) ร่วมกับโควิด ซึ่งจะไม่มีวันหมดไปจากโลก แต่จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ 

 

แผนงานดังกล่าวซึ่งเสนอโดยประธานคณะทำงานเฉพาะกิจเรื่องโควิดจากสามกระทรวงนั้น รวมถึงการยกเลิกการล็อกดาวน์และการติดตามผู้สัมผัส อนุญาตให้ประชาชนเดินทางโดยไม่ต้องกักตัว สามารถรวมตัวกันเป็นจำนวนมากได้อีกครั้ง หรือแม้กระทั่งการหยุดนับจำนวนผู้ป่วยใหม่รายวัน

 

กัน คิม หยง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ลอว์เรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ออง ยี คุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุในบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ The Straits Times ของสิงคโปร์ เมื่อวันพฤหัสบดี (24 มิถุนายน) ว่า สิ่งสำคัญอันดับแรกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าคือการเตรียมสิงคโปร์ให้พร้อมใช้ชีวิตร่วมกับโควิด ซึ่งจะกลายเป็นโรคที่เกิดซ้ำและควบคุมได้

 

ข้อเสนอของสามรัฐมนตรีซึ่งเป็นประธานร่วมของคณะทำงานเฉพาะกิจนั้น แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากรูปแบบที่เรียกว่า ‘การแพร่เชื้อเป็นศูนย์’ หรือ ‘Zero Transmission’ ที่หลายประเทศและดินแดนได้นำมาใช้อยู่ในขณะนี้ หนึ่งในนั้นรวมถึงศูนย์กลางธุรกิจของเอเชียที่เป็นคู่แข่งสิงคโปร์อย่างฮ่องกง 

 

แม้โมเดล ‘การแพร่เชื้อเป็นศูนย์’ จะสามารถช่วยควบคุมการแพร่ระบาดได้ในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ดี คณะทำงานเฉพาะกิจของสิงคโปร์มองว่าโมเดลดังกล่าวซึ่งต้องใช้มาตรการกักตัวที่เข้มงวด รวมถึงมีการกำหนดบทลงโทษ อาจใช้ไม่ได้ผลเมื่อพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ อีกทั้งไม่อาจใช้โมเดลนี้ในระยะยาวได้ ด้วยเหตุนี้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิดจึงน่าจะเป็นทางออก

 

สิงคโปร์จะเตรียมประชาชนให้พร้อมอยู่ร่วมกับโควิด ซึ่งจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเขา โดยข้อจำกัดต่างๆ จะค่อยๆ คลายลงอย่างช้าๆ ชาวสิงคโปร์จะสามารถออกไปทำงาน จับจ่ายซื้อของ เดินทางและท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัว นอกจากนี้การชุมนุมใหญ่จะได้รับอนุญาตอีกครั้ง เช่น ขบวนพาเหรดวันชาติ หรือการนับถอยหลังคืนส่งท้ายปีเก่า ส่วนบริษัทห้างร้านก็ไม่ต้องกลัวว่าธุรกิจจะหยุดชะงักอีกแล้ว เพราะจะไม่มีการล็อกดาวน์ แม้ว่าโควิดจะยังไม่หมดไปจากโลกนี้ก็ตาม 

 

“เป็นเวลา 18 เดือนแล้วที่โรคระบาดนี้ได้เริ่มต้นขึ้น และประชาชนของเราก็เบื่อกับการต่อสู้ที่เหนื่อยล้านี้แล้ว ทุกคนต่างถามว่าโรคระบาดจะสิ้นสุดเมื่อไรและอย่างไร” ประธานคณะทำงานร่วมกล่าวในบทความใน Straits Times

 

“เราสามารถเปลี่ยนโรคระบาดใหญ่ให้กลายเป็นโรคที่คุกคามน้อยกว่ามาก เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ โรคมือเท้าปาก หรือ อีสุกอีใส และใช้ชีวิตต่อไปได้”

 

ทั้งนี้แผนงานดังกล่าวอยู่ระหว่างการร่าง ควบคู่ไปกับการที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน

 

สิงคโปร์ได้เร่งระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชน ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้ผลแล้วในการลดอัตราการติดเชื้อและการแพร่เชื้อ โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วส่วนใหญ่จะมีอาการเพียงเล็กน้อยหรือไม่แสดงอาการเลยแม้ว่าจะติดเชื้อก็ตาม

 

รัฐมนตรีกล่าวว่า 2 ใน 3 ของประชากรสิงคโปร์จะได้รับวัคซีนเข็มแรกภายในต้นเดือนกรกฎาคม และฉีดวัคซีนครบโดสภายในวันที่ 9 สิงหาคม ซึ่งตรงกับวันชาติสิงคโปร์

 

เมื่อประชาชนได้รับวัคซีนกันมากขึ้นแล้ว การติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันของสิงคโปร์จะเปลี่ยนไป โดยจะเปลี่ยนไปเน้นที่ผลลัพธ์ เช่น มีผู้ป่วยอาการหนักและต้องเข้ารับการรักษาในห้อง ICU จำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่ใช้ในการเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่

 

แม้การตรวจหาเชื้อและการเฝ้าระวังยังคงมีความจำเป็น แต่การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการตรวจคัดกรองผู้ที่จะเข้าไปในอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน ฯลฯ หรือเมื่อเดินทางกลับจากต่างประเทศ ไม่ใช่การตรวจเพื่อกักตัวและติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด

 

นอกจากนี้ผู้ติดต่อสัมผัสใกล้ชิดสามารถซื้อชุดตรวจจากร้านขายยาเพื่อตรวจหาเชื้อเองได้ และในที่สุดผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะได้รับอนุญาตให้พักฟื้นที่บ้านได้ เพื่อที่จะได้ช่วยลดภาระของระบบสาธารณสุข 

 

สำหรับประเด็นเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่ทั่วโลกกังวลนั้น รัฐมนตรีสิงคโปร์ระบุว่า อาจต้องมีการฉีดกระตุ้นเพิ่มในอนาคต และเสนอให้มีการจัดตั้งโครงการฉีดวัคซีนระยะเวลาหลายปี

 

พร้อมกันนี้สามรัฐมนตรียังได้เรียกร้องให้ประชาชนมี ‘ความรับผิดชอบต่อสังคม’ เช่น รักษาสุขอนามัยที่ดีและอยู่ห่างจากฝูงชนเมื่อรู้สึกไม่สบาย เพื่อลดอัตราการแพร่เชื้อ

 

“ท้ายที่สุดแล้วเราจะอยู่กับโควิดได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการยอมรับของชาวสิงคโปร์ว่าโควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น และหากเราทุกคนแบกรับภาระร่วมกัน เช่น พนักงานช่วยให้เพื่อนร่วมงานปลอดภัยด้วยการอยู่บ้านเมื่อป่วย และนายจ้างไม่จับผิดพวกเขา สังคมของเราจะปลอดภัยขึ้นมาก” รัฐมนตรีกล่าว

 

แผนการดังกล่าวถือเป็นความหวังสำหรับชาวสิงคโปร์ ซึ่งกระตือรือร้นที่จะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติหลังจากต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเพื่อควบคุมการระบาดมาอย่างยาวนาน ทั้งยังอาจกลายเป็นแม่แบบสำหรับประเทศอื่นๆ ที่ต้องการกลับสู่ชีวิตปกติ ตลอดจนกลับมาเดินทางและท่องเที่ยวอีกครั้ง

 

“ในที่สุดวิทยาศาสตร์และความเฉลียวฉลาดของมนุษย์จะเอาชนะโควิด ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและจิตสำนึกทางสังคมจะพาเราไปถึงจุดหมายนั้นได้เร็วขึ้น เราทุกคนต้องทำหน้าที่ในส่วนของเรา” รัฐมนตรีสิงคโปร์กล่าว

 

ภาพ: Suhaimi Abdullah / Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising