นักวิเคราะห์ประเมินดัชนีหุ้นไทยปรับตัว Sideway โดยนักลงทุนหันเข้าหาหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำและมีปัจจัยเฉพาะตัว หลังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังไม่มีความคืบหน้า ขณะที่ตลาดจับตาการตอบโต้อิหร่านจากสหรัฐฯ รวมถึงคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกรกฎาคม
ตลาดกำลังรอดูว่าการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนจะมีผลออกมาอย่างไร หลังสองผู้นำจะพบกันในเวที G20 ที่โอซาก้า วันที่ 29 มิถุนายนนี้ ส่งผลให้มีการชะลอการลงทุนและเพิ่มน้ำหนักต่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำในตลาดโลก เช่น ทองคำและพันธบัตร โดยส่วนหนึ่งมาจากการคาดการณ์ว่า Fed จะพิจารณาลดดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ระหว่างวันที่ 30-31 กรกฎาคมนี้ ผลที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้ จึงมีการเข้าเก็งกำไรสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากดอลลาร์ที่จะอ่อนค่า อันประกอบด้วย หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ หุ้นที่มีการกู้เงินตราต่างประเทศ (น้ำมัน-ปิโตรเคมี-โรงไฟฟ้า)
อย่างไรก็ตาม อีกประเด็นหนึ่งที่อาจกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจคือ สหรัฐฯ ระงับการทำธุรกรรมการเงินกับผู้นำของอิหร่าน แม้ไม่มีผลต่ออุปทานน้ำมันโดยตรง แต่ทำให้เกิดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และจะไปมีผลต่อราคาน้ำมันดิบในที่สุด แน่นอนว่า หากราคาน้ำมันสูงขึ้นจะกระทบต่อเศรษฐกิจ
สำหรับตัวแปรในประเทศ ตลาดยังรอดูการประกาศชื่อ ครม. อย่างเป็นทางการ เวลานี้ยังคงให้น้ำหนักในทางบวกจากการตั้งรัฐบาลสำเร็จ และนโยบายเศรษฐกิจที่จะเดินไปได้ต่อเนื่อง
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนโดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ KTBST นั้น มองว่า ดัชนีหุ้นไทยอยู่ในโหมดของการพักตัว เพื่อรอสัญญาณบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน (รอซื้อหรือขายเมื่อมีความชัดเจน) วันนี้จึงยังเห็นการ Switching คือลดหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก ไปหาหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น เช่น หุ้นโรงไฟฟ้า และกองทุน (REIT, Property Fund, Infra Fund)
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- บริษัทหลักทรัพย์ KTBST