×

เปิดโอกาส รอจังหวะฟื้นตัวของหุ้นไทย ด้วย SET50 Protected Bull note

14.03.2024
  • LOADING...

ตลาดหุ้นไทยในช่วงปีที่ผ่านมา เป็นตลาดหุ้นที่ไม่เพียงมีผลตอบแทน Underperform ตลาดหุ้นอื่น แต่ยังมีผลตอบแทนติดลบอีกด้วย ดัชนี SET ติดลบถึง -15.2% ในปี 2566 เป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก รองจากฮ่องกงและจีน และยังคงให้ผลตอบแทนติดลบต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2567 ที่ -1.25% (ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567) ผลตอบแทนที่ติดลบนี้สวนทางกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นทั่วโลกที่เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องถึงต้นปี 2567 ตลาดหุ้นสำคัญๆ อย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ Dow Jones +3.83%, S&P 500 +6.69%, Nasdaq +6.56%, ตลาดหุ้นยุโรป Euro Stoxx 50 +7.75% และตลาดหุ้นญี่ปุ่น Nikkei 225 +16.84% (ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567)

 

ปัจจัยทั้งภายในและภายนอกรุมเร้า

 

หากจะวิเคราะห์หาสาเหตุว่าทำไมหุ้นไทยถึงให้ผลตอบแทนติดลบต่อเนื่อง พบว่าตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันหลายด้าน เริ่มจากตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มเกิดการ Sector Rotation จากกระแส AI รวมถึงการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลให้เงินทุนเริ่มไหลเข้าสู่หุ้นกลุ่ม Growth ในตลาดต่างประเทศมากขึ้น หุ้นไทยที่ยังไม่ได้มีความโดดเด่นในเรื่อง AI หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงมีความน่าสนใจน้อยลง

 

ด้านปัจจัยในประเทศโดยเฉพาะเรื่องการเมืองก็ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง หลังจากการเลือกตั้งแล้วเกิดความไม่ลงตัวและมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง ด้านนโยบายที่เคยหาเสียงช่วงเลือกตั้งก็เข้ามาเป็นปัจจัยกดดันหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า รวมถึงความไม่ชัดเจนของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต และงบประมาณปี 2567 ต้องล่าช้าออกไป

 

ด้านการเติบโตของประเทศ GDP ไทยปี 2566 ชะลอตัวลง โดยเติบโตเพียง 1.9% จาก 2.5% ในปี 2565 และสภาพัฒน์ยังมีการปรับลดกรอบคาดการณ์การเติบโตของไทยในปี 2567 ลงจาก 2.7-3.7% มาอยู่ที่ 2.2-3.2% สะท้อนถึงโมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

 

นอกจากปัจจัยมหภาคที่กดดันแล้ว ยังมีกระแสข่าวที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีก ไม่ว่าจะเป็นของหุ้นที่มีการตกแต่งบัญชี หรือหุ้นที่มีสภาวะขาดสภาพคล่องจนไม่สามารถชำระหนี้หุ้นกู้ได้ รวมถึงกระแสข่าวการทำ Naked Short Sell ในตลาดหุ้นไทย และภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มีการปรับลดลงในปี 2566

 

แม้จะดูซบเซา แต่ยังมีหวังฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี

 

ในปี 2567 เรายังมีความหวังและการฟื้นตัวขึ้นของเศรษฐกิจไทย นำโดยการท่องเที่ยว เราเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่า 3 ล้านคน 2 เดือนติดกัน (ธันวาคม 2566 และมกราคม 2567) นำโดยนักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มกลับเข้ามา UOB Group คาดว่านักท่องเที่ยวปีนี้จะเพิ่มขึ้นแตะ 33.5 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้ว่า 3 ล้านล้านบาท หรือ 17.2% ของ GDP

 

 

นอกจากการท่องเที่ยวแล้ว ภาคการส่งออกคาดว่าจะฟื้นตัวเช่นกัน จากประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกของ IMF ที่ปรับคาดการณ์ GDP โลกปี 2567 ขึ้นสู่ระดับ 3.1% (จาก 2.9%)  ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวและความต้องการสินค้าส่งออกจากไทยให้เพิ่มขึ้นด้วย เราเริ่มเห็นสัญญาณจากมูลค่าส่งออกเดือนมกราคมอยู่ที่ 22,649.9 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 10.0%YoY สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัว 4.7% การส่งออกของไทยยังขยายตัวต่อเนื่องตามทิศทางการค้าโลกที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับปัจจัยมูลค่าฐานการส่งออกต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อีกทั้งมีแรงหนุนจากการส่งออกคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบตามการฟื้นตัวของวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่ยังคงขยายตัวสูง

 

ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรวาระแรกในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขั้นตอนต่อไปจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อปรับแก้ไขและส่งให้สภาผู้แทนราษฎรมีลงมติในวาระ 2-3 ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน จึงคาดว่าในไตรมาส 2 นี้เราน่าจะเห็นการอนุมัติงบประมาณ ซึ่งจะมีเม็ดเงินที่เข้ามาช่วยหนุนเศรษฐกิจในปีนี้ให้เดินหน้าต่อ

 

ตลาดหุ้นไทยน่าจะเริ่มสดใสขึ้นจากคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตขึ้นในปี 2567 โดยคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) จาก Bloomberg Consensus อยู่ที่ 93.6 บาทต่อหุ้น โต 16% จากปี 2566 (ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์) และดีกว่า EPS Growth ของหุ้นโลกที่คาดว่าจะโต 8% จากการคาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้นนี้ส่งผลให้ Fwd PE ปี 2567 ของ SET Index อยู่ที่ 14.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 18.14 เท่า หรืออยู่ที่ -1SD ด้านกระแสเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติเดือนกุมภาพันธ์นี้เริ่มมีเงินทุนไหลเข้าราว 8.7 พันล้านบาท (ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์)

 

เปิดโอกาสเติบโต พร้อมปิดความเสี่ยง

 

จากปัจจัยข้างต้น เราเริ่มเห็นโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในระดับราคาที่น่าสนใจ แต่การลงทุนอาจเผชิญความผันผวนหรือปัจจัยเชิงลบที่ไม่คาดคิดได้ โดยในปีนี้ก็ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่อาจกลับมาพุ่งสูงขึ้น หลังจากราคาพลังงานปรับตัวขึ้น ประเด็นการเมืองทั้งการเลือกตั้งใหญ่โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและการค้าได้ และนโยบายการเงินที่อาจไม่เป็นไปตามคาด

 

จากสถานการณ์ข้างต้น UOB แนะนำการลงทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์เพื่อความมั่งคั่งอย่างมั่นคง ด้วย SET50_AKO Protected Bull – SharkFin

 

SET50_AKO Protected Bull – SharkFin เป็นผลิตภัณฑ์หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 ประเภทที่มีการประกันเงินต้น ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

 

เหมาะกับใครบ้าง?

  1. ผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสในการลงทุนระยะสั้นเพียง 1 ปี ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากประจำหรือตราสารหนี้ระยะสั้นทั่วไป
  2. ผู้ลงทุนที่รับความผันผวนได้น้อย เนื่องจากผลิตภัณฑ์นี้ความคุ้มครองเงินต้น
  3. ผู้ลงทุนที่มีมุมมองคาดว่าดัชนี SET50 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่คาดว่าไม่เกิน Knock-Out Price (15%)  

 

การจ่ายผลตอบแทน จากตัวอย่างราคานำเสนอ ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 

 

  • ผลตอบแทนอยู่ในช่วง 0-6%* (จาก Participation Rate ที่ 40%)
  • ราคาปิดของ SET50 ณ วันทำการใดตลอดช่วงอายุของตราสาร ไม่เคยสูงกว่าหรือเท่ากับราคา Knock-Out Price (Knock-Out Event Never Occurs)
  1. ณ วัน Final Valuation Date (2 วันทำการก่อนครบอายุตราสาร) ราคาปิดต่ำกว่า Strike Price: ได้รับคืนเฉพาะเงินต้น
  2. ณ วัน Final Valuation Date ราคาปิดอยู่ระหว่าง Strike Price และ Knock-Out Price: ได้รับผลตอบแทนที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของดัชนี SET50 โดยมี PR 40% ส่งผลให้โอกาสได้ผลตอบแทนสูงสุดอยู่ที่ 6%* ต่อปี
  • ราคาปิดของ SET50 ณ วันทำการใดตลอดช่วงอายุของตราสาร เคยอยู่สูงกว่าหรือเท่ากับราคา Knock-Out Price (Knock-Out Event Occurs)
  1. ได้รับผลตอบแทนที่อัตรา Rebate คือ 0.1%* ต่อปี

 

*อัตราผลตอบแทนยังไม่รวมการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%

 

ตัวอย่างราคานำเสนอ ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 

 

 

คำเตือน:

 

  • ผลิตภัณฑ์นี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ ที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากและตราสารหนี้ทั่วไป
  • เมื่อถึงวันครบกำหนดอายุตราสาร ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับคืนเฉพาะเงินต้น ในกรณีที่วันกำหนดราคาปัจจัยอ้างอิง แล้วดัชนี SET50 ปรับตัวลงต่ำกว่าหรือเท่ากับ Strike Price (Worst Case Scenario)
  • ผู้ลงทุนมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับอัตราผลตอบแทน หรือได้รับอัตราผลตอบแทนที่ไม่แน่นอน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของดัชนี SET50 ตามเงื่อนไขการลงทุน
  • การลงทุนมีอายุ 1 ปี และผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืน หรือไถ่ถอนก่อนครบกำหนดได้
  • ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง เงื่อนไขผลตอบแทน วิเคราะห์ความเสี่ยงและความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงอย่างถี่ถ้วน ก่อนตัดสินใจลงทุน

 

ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking ได้ที่ โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking

 

อ้างอิง:

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising