×

EXCLUSIVE: กูรูมั่นใจตั้งรัฐบาลสำเร็จ SET ฟื้น! มองหุ้นไทยยังไม่สิ้นเสน่ห์ โดยเฉพาะกลุ่มสิ่งแวดล้อม-สังคมผู้สูงอายุ

06.08.2023
  • LOADING...
WEALTH CLUB

กูรูมั่นใจตั้งรัฐบาลสำเร็จ SET ฟื้น ด้าน Yuanta มองหุ้นไทยยังไม่สิ้นเสน่ห์ โดยเฉพาะกลุ่มสิ่งแวดล้อม-สังคมผู้สูงอายุ ขณะที่ Private Bank Group ธนาคารกสิกรไทย แนะนำ 4 กลยุทธ์การลงทุนรับมือกับความผันผวน ในช่วงที่ตลาดให้ผลตอบแทนต่ำ

 

ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน  บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยในงาน WEALTH CLUB 2023 ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ The Power Shift: Driving Growth in Economic Transition ว่าตั้งแต่ต้นปี (YTD) ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกมีเพียงแค่ไม่กี่ประเทศที่ค่าดัชนีติดลบ ซึ่งตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มนั้น

 

“ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาได้ หากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปได้เรียบร้อย เพราะ ธรรมชาติของตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้น หากปัจจัยกดดันคลี่คลาย เพราะการเมือง ตลาดทุน และเศรษฐกิจเชื่อมโยงกันหมด ยิ่งจัดตั้งรัฐบาลได้ช้า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ก็จะช้าตามไปด้วย และตอนนี้ไทยก็ยังคงเผชิญปัญหาทั้งสังคมผู้สูงอายุ และหนี้ครัวเรือนที่สูง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตลาดหุ้นไทยถึงปรับตัวลงมา เพราะว่าการเมืองเป็นปัจจัยที่กระทบต่อหลายภาคส่วน” ภาดลกล่าว

 

ทั้งนี้ อีกหนึ่งความไม่แน่นอนที่ภาดลยังจับตาดูคือ หน้าตาของฝ่ายรัฐบาล และโอกาสที่อาจเกิดความไม่สงบ ซึ่งถ้าหากรัฐบาลจัดตั้งได้สงบเรียบร้อย ภาดลคาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นได้ทันที

 

“ถ้าเราประเมินจากสถิติการเลือกตั้งที่ผ่านมา 5 ครั้งก่อน ตลาดให้ผลตอบแทนเป็นบวกกว่า 2 หลัก (Double Digit) ถึง 3 ครั้ง ส่วนอีก 2 ครั้งนั้นให้ผลตอบแทนเสมอตัว แต่ถ้าผลลัพธ์การจัดตั้งรัฐบาลออกมาผิดคาดและมีโอกาสเกิดการชุมนุม นักลงทุนก็อาจจะพิจารณารอประเมินสถานการณ์ต่อ” ภาดลกล่าว

 

นอกจากนี้ ภาดลยังกล่าวว่า แม้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนต่ำเพียง 11% หรือเฉลี่ยเพียงปีละ 1% กว่าๆ เท่านั้น สอดคล้องกับกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนไทย อย่างไรก็ตาม ภาดลมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีเสน่ห์อยู่ เนื่องมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่

 

  1. สภาพคล่องหรือมูลค่าการซื้อขายยังค่อนข้างสูง 
  2. ความผันผวนที่ต่ำ โดยจะเห็นได้ว่าค่าความผันผวนรายเดือน เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีของ SET Index ต่ำเป็นอันดับที่ 2 ของโลก เป็นรองเพียง MSCI World เท่านั้น
  3. เงินปันผลที่สูง โดยจะเห็นได้ว่า Dividend Yield เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ตลาดหุ้นไทยจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 3.08% เป็นรองเพียงตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งอยู่ที่ 3.43%

 

สำหรับภาคส่วนที่ภาดลมองเป็นโอกาส ได้แก่ 1. ภาคสิ่งแวดล้อม 2. ภาคท่องเที่ยวและสังคมผู้สูงอายุ ตัวอย่างเช่น PTT เนื่องจากมองว่าเป็นบริษัทที่ถูกมองข้ามไป หลังจากได้มีการแยกบริษัทลูกออกมา ทั้งๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีโครงสร้างธุรกิจครบวงจร ทำให้กำไรมีเสถียรภาพ ฐานะการเงินมั่นคงด้วย DER ต่ำ ผู้ถือหุ้นใหญ่พร้อมสนับสนุนด้านการเงิน ทำให้หุ้นทนแรงเสียดทานจากความผันผวนได้ดี นอกจากนี้ ย้อนกลับไปในปี 2021 PTT ได้ปรับวิสัยทัศน์และกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนไปทั่วโลก โดยมีวิสัยทัศน์ใหม่ ‘ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต’

 

สุดท้ายคือ BDMS เนื่องจากกำไร 2H66 เติบโตเด่น HoH จากคนไข้ต่างชาติที่กลับมามากขึ้นทั้งกลุ่มตะวันออกกลางและจีน รวมถึงอัตรากำไรสูงขึ้นจากผลของรายได้ที่เติบโตดี รักษาโรคซับซ้อน และคนไข้ต่างชาติ นอกจากนี้ อุตสาหกรรม Medical Tourism ของไทยอยู่อันดับที่ 5 ของโลก ขณะที่ค่ารักษาพยาบาลในโรคร้ายทีมผู้ป่วยจำนวนมาก เช่น โรคหัวใจ ค่ารักษาพยาบาลในไทยถูกกว่าสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก 

 

รวมทั้งประเทศไทยเป็นที่นิยมสำหรับภาคการท่องเที่ยวอยู่แล้ว จึงทำให้อุตสาหกรรม Medical Tourism ของไทยเป็นหนึ่งในจุดแข็งสำคัญ และ Valuation ของ BDMS เทรดอยู่ที่ระดับ FWD PE 31.8x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 39.5x และหากไม่รวมปีที่มีผลกระทบจากโควิด FWD PE อยู่ที่ระดับ 36.5x

 

สำหรับหุ้นบริษัทจดทะเบียนอีกตัวที่ภาดลแนะนำ ได้แก่ BANPU เนื่องจากภาวะ El Nino เป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการใช้แก๊สและถ่านหินมากขึ้น นอกจากนี้ BANPU ยังเป็นหนึ่งในผู้นำเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนในประเทศไทย และมีการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ และการดำเนินธุรกิจ CCS จะช่วยให้โรงไฟฟ้าของ BANPU ได้เปรียบในการแข่งขันกับโรงไฟฟ้าอื่นๆ ท่ามกลางสัดส่วนรายได้จากถ่านหินจะลดลงต่อเนื่อง จากการดำเนินนโยบาย Greener & Smarter

 

ธนาคารกสิกรไทย แนะนำ 4 กลยุทธ์รับมือความผันผวน 

 

ขณะที่ จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Bank Group ธนาคารกสิกรไทย แนะนำ 4 กลยุทธ์การลงทุนในการรับมือกับความผันผวน ในช่วงที่ตลาดให้ผลตอบแทนต่ำ ได้แก่

 

  1. การมองหาแนวรุกใหม่ (Find New Territories) ตัวอย่างเช่น การลงทุนในภาคส่วนดิจิทัล เครื่องจักรอัจฉริยะ เชื้อเพลิงสะอาด เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ และเศรษฐกิจสัตว์เลี้ยง (Pet Economy)  
  2. ทดลองหาสินทรัพย์ใหม่ (Explore other Asset Classes) รวมไปถึงการลงทุนในหุ้นนอกตลาด ตัวอย่างเช่น SpaceX ซึ่งเป็นบริษัทด้านอวกาศ, Luminous ผู้พัฒนา Optical Microchip และ FITURE ผู้ผลิตเครื่องออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในที่ร่ม ซึ่งเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและตอบโต้กับผู้ใช้ได้ในจีน
  3. เพิ่มกลยุทธ์การลงทุน (Try Alternative Strategies) เช่น การใช้กลยุทธ์ Short Sell สลับ Long Sell และกลยุทธ์ High Frequency Trading เป็นต้น
  4. เลือกวิธีบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม (Use Proper Risk Management) ได้แก่ กระจายความเสี่ยงไปลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายระดับโลก และกลยุทธ์การเทรดแบบ Active พร้อมจำกัดการขาดทุน
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising