ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2563 เป็นจุดเริ่มต้นของการที่ราคาหุ้น OTO หรือ บมจ.วันทูวัน คอนแทคส์ พุ่งขึ้นกว่า 1,500% จนไปทำจุดสูงสุดที่ 24.4 บาท เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 ก่อนที่ราคาหุ้นจะดิ่งลงอย่างหนักมาแตะระดับ 1.52 บาท หรือลดลงไปกว่า 93% โดยราคาที่ดิ่งลงดังกล่าวมีถึง 7 วันทำการที่ราคาหุ้นลดลงไปถึง 30% หรือราคาปิดที่ระดับฟลอร์ของแต่ละวัน
ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้แจ้งข้อเท็จจริงเพื่อให้ผู้ลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนเข้าซื้อขายในหลักทรัพย์ OTO หลังจากสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
สำหรับสภาพการซื้อขายในช่วงวันที่ 12-21 มิถุนายน 2566 ราคาหุ้น OTO ปรับตัวลดลง 87.53% จาก 16.2 บาท มาอยู่ที่ 2.02 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 494 ล้านบาท และอัตราการหมุนเวียนการซื้อขายเฉลี่ยที่ 21.69%
การขายในช่วงแรกกระจุกในกลุ่มบุคคลวันละประมาณ 30-50% ของปริมาณการซื้อขาย ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลง หลังจากนั้นยังคงพบการขายกระจุกตัวต่อเนื่องจากการ Force Sell เป็นส่วนใหญ่
ขณะที่สัดส่วนการ Short Selling อยู่ที่ 0.005% ของปริมาณการซื้อขาย โดยนักลงทุนสามารถดูรายละเอียดการขายผ่านการ Short Selling เพิ่มเติมจากข้อมูลและสถิติธุรกรรมขายชอร์ตที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th ขณะที่สัดส่วน Program Trading อยู่ที่ประมาณ 1.60% ของปริมาณการซื้อขาย โดยปัจจุบัน OTO ยังคงเป็นหลักทรัพย์ในมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1
ทั้งนี้ OTO ได้ชี้แจงผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวกับราคาหุ้นที่ลดลงอย่างหนักว่า ส่งผลให้ผู้ลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องมีความกังวลกับเหตุการณ์ดังกล่าว รวมถึงทำให้เกิดการคาดเดาถึงสาเหตุที่ราคาหุ้นของบริษัทมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญในช่วงระยะเวลาอันสั้นที่ผ่านมา ที่อาจสร้างความเสียหายและบั่นทอนความน่าเชื่อถือของบริษัท ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการร้องขอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอตรวจสอบรายการซื้อขายหุ้นที่มีลักษณะผิดปกติในช่วงระยะเวลาดังกล่าวแล้ว โดยหากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการตรวจสอบ บริษัทจะเรียนแจ้งให้นักลงทุนทราบทันที
บริษัทขอเรียนชี้แจงและขอให้ความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นของบริษัทนั้นเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกและสภาวการณ์อื่นๆ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท
การปรับตัวลงของราคาหุ้นบริษัทนั้นไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท สำหรับสถานะทางการเงิน รวมถึงการดำเนินงานของบริษัทยังมีปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง โดยบริษัทจะยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ นอกจากนี้บริษัทยังได้เข้าร่วมโครงการประมูลโครงการภาครัฐ ซึ่งมีมูลค่าโครงการไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาและประกาศผลผู้ชนะประมูลโครงการ ซึ่งหากมีความคืบหน้าเป็นประการใด บริษัทจะเรียนแจ้งให้นักลงทุนทราบทันที
ทั้งนี้ บริษัทขอให้ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เชื่อมั่นว่าบริษัทเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนธุรกิจที่บริษัทได้วางไว้เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นทุกราย และบริษัทยังคงมีผลประกอบการที่ดี และมีสภาพคล่องและสถานะทางการเงินเป็นปกติ บริษัทขอให้ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายพึงพิจารณาตรวจสอบข่าวสารที่เกิดขึ้นอย่างระมัดระวัง และให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจแก่บริษัทว่าบริษัทประกอบธุรกิจอย่างโปร่งใสภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป