×

Seoul Vibe ติดไฟใส่เท้า เตรียมซิ่งทะลุโซลไปกับ ยูอาอิน อีคยูฮยอง โกคยองพโย องซองอู และ พัคจูฮยอน

25.08.2022
  • LOADING...
ภาพ: Netflix

HIGHLIGHTS

  • “ในชีวิตที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ความท้าทายเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญสำหรับผมครับ ความท้าทายของภาพยนตร์ Seoul Vibe มีปัจจัยหลายอย่างผสมผสานกัน และมีหลายอย่างที่ผมต้องเตรียมตัวเพื่อการถ่ายทำ มีความท้าทายแปลกใหม่หลายรูปแบบที่ผมได้ลองครั้งนี้ หวังว่าทุกคนจะสัมผัสได้ถึงความท้าทายจากรายละเอียดในภาพยนตร์ครับ” – ยูอาอิน

Seoul Vibe ซิ่งทะลุโซล ภาพยนตร์วัยรุ่นที่จะพาเราย้อนไปยุค 80 ช่วงเวลาก่อนพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1988 ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ หลังรัฐบาลทหารของนายพลชอนดูฮวานยอมคืนอำนาจให้ประชาชน และจัดการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 1987 จนได้มาซึ่งประธานาธิบดีโนแทอู ที่ชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้น

 

ซึ่งในภาพยนตร์ Seoul Vibe มีเหตุการณ์ข้องเกี่ยวกับเค้าโครงเรื่องจริง โดยสะท้อนชีวิตของวัยรุ่นแก๊งซิ่งที่เข้าไปพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชันครั้งยิ่งใหญ่ และเสียดสีผู้นำประเทศตามเรื่องราวในภาพยนตร์ได้อย่างเจ็บแสบ

 

ผู้กำกับ มุนฮยอนซอง เล่าถึงแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ว่ามาจากปี 1988 ที่สังคมเกาหลีขัดแย้งกันอย่างรุนแรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นยุคที่ผู้คนร่วมมือกันอย่างถึงที่สุด ด้วยความที่สภาพบ้านเมืองเพิ่งจะเริ่มเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย และโซลกำลังเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกที่จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของประเทศดีขึ้นในสายตานานาชาติ

 

นอกจากแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ผู้กำกับมุนฮยอนซองยังผนวกเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นในโซลที่สดใส สนุกสนาน และเต็มไปด้วยแพสชัน โดยเฉพาะวัยรุ่นแก๊งรถซิ่งที่เต็มไปด้วยความฝันถึงอนาคตและสังคมที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

 

ซึ่งแก๊งรถซิ่งในภาพยนตร์ Seoul Vibe ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเขาคือตัวละครของนักแสดงเคมีเข้าขากลุ่มนี้ ยูอาอิน อีคยูฮยอง โกคยองพโย องซองอู และ พัคจูฮยอน

 

 

พวกคุณคิดว่าอะไรคือเหตุผลหลักที่เลือกร่วมงานในภาพยนตร์ Seoul Vibe

ยูอาอิน: ดูจากตัวผลงานแล้วผมรู้สึกว่ามันท้าทายมากครับ ถึงจะไม่ทราบแน่ชัดว่าความท้าทายครั้งนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์แบบไหน แต่หลังจากการรอคอยอันแสนนาน ผมก็ได้ทราบข่าวว่าจะได้มีโอกาสแสดงร่วมกับนักแสดงทีมนี้ และถ้าเป็นพวกเขาก็น่าจะทำออกมาได้ดี ผมจึงได้ตัดสินใจตอบตกลงเลยครับ

 

ในชีวิตที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ความท้าทายเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญสำหรับผมครับ ความท้าทายของภาพยนตร์ Seoul Vibe มีปัจจัยหลายอย่างผสมผสานกัน และมีหลายอย่างที่ผมต้องเตรียมตัวเพื่อการถ่ายทำ มีความท้าทายแปลกใหม่หลายรูปแบบที่ผมได้ลอง หวังว่าทุกคนจะสัมผัสได้ถึงความท้าทายจากรายละเอียดในภาพยนตร์ครับ

 

กคยองพโย: ทันทีที่ได้ทราบข่าวว่านักแสดงยูอาอินตอบตกลงรับบทในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมดีใจมากที่จะได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้ง พวกเราเคยร่วมงานกันมาแล้วใน Chicago Typewriter (2017) สำหรับตัวผมเองก่อนหน้านี้เคยลองใช้ชีวิตในยุค 1988 มาแล้วจากซีรีส์ Reply 1988 ผมเลยอยากลองใช้ชีวิตยุคนั้นอีกครั้งในแบบที่แปลกใหม่ออกไปครับ

 

อีคยูฮยอง: เป็นครั้งแรกที่ผมได้ร่วมงานกับนักแสดงทุกท่านใน Seoul Vibe เลยครับ พอได้ทราบไลน์อัพนักแสดง ผมก็คิดว่าน่าจะสนุกมากๆ ถ้าได้ทำงานร่วมกัน และมันก็สนุกอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วยครับ

 

พัคจูฮยอน: ฉันเองก็ชื่นชอบสมาชิกในแก๊งของเรา มีรุ่นพี่นักแสดงที่ทำให้ฉันใจเต้นรัวหลายท่านด้วย ตัวละครที่ฉันได้รับเป็นตัวสร้างสีสัน และฉันมั่นใจว่าถ้าแสดงร่วมกับนักแสดงทีมนี้ ฉันจะสื่อสารออกมาได้อย่างชัดเจนค่ะ

 

องซองอู: ครั้งแรกที่ได้อ่านบท ผมตื่นเต้นและดีใจมากเลยครับที่มีผลงานดีๆ แบบนี้เข้ามา พอได้ทราบไลน์อัพนักแสดงก็ยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ตั้งตาที่จะได้ทำความรู้จักและสนิทกับพี่ๆ ทุกคนตั้งแต่ก่อนถ่ายทำครับ 

 

อยากให้พวกคุณช่วยอธิบายเกี่ยวกับบทบาทของตัวละครที่ได้รับให้ฟังหน่อย

ยูอาอิน: ดงอุค เป็นตัวละครที่แตกต่างจากตัวจริงของผมอย่างลิบลับเลยครับ รูปลักษณ์ภายนอกเขามีความรุงรังด้วยจินตนาการและใฝ่ฝันเกี่ยวกับวัฒนธรรมตะวันตกในยุคนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่น พร้อมจะไล่ล่าความฝันของตัวเอง

 

โกคยองพโย: สวัสดีครับ ผมรับบทเป็นดีเจอูซัม เขาเป็นดีเจที่เรียกตัวเองว่าสายลับครับ เป็นตัวละครสำคัญของภาพยนตร์ที่ขาดไม่ได้ ผมได้ลงทุนซื้อเซ็ตอุปกรณ์ดีเจไว้ที่บ้านเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับบทนี้ อุตส่าห์เซ็ตไว้อย่างดีเลย แต่เนื่องจากคิวการทำงานที่แน่นมาก เลยไม่ค่อยได้ซ้อมมากเท่าที่ควร ทำให้ตอนเล่นจริงมือแข็งกว่าตอนซ้อมมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจ และหวังว่าสักวันจะได้โชว์การเป็นดีเจให้ทุกคนได้เห็นกันในโอกาสหน้าครับ

 

อีคยูฮยอง: ผมรับบทเป็น บกนัม พี่คนโตประจำแก๊งซูพรีมทีม ที่คอยดูแลเรื่องสภาพจิตใจและความเป็นอยู่ของเด็กๆ นอกจากนั้นยังรับหน้าที่เป็นเนวิเกเตอร์ประจำกลุ่มด้วยครับ ในสมัยนั้นยังไม่มีเนวิเกเตอร์ แต่ด้วยประสบการณ์การขับรถแท็กซี่ ทำให้เขาชำนาญเส้นทางในกรุงโซล เพื่อการนำทางที่เหมาะสม ผมได้ลองฟังเสียงเนวิเกเตอร์จากหลายๆ ที่เพื่อที่จะได้สื่อออกมาได้ดีที่สุดครับ

 

พัคจูฮยอน: ฉันรับบทเป็น ยุนฮี ประธานสมาคมรถจักรยานยนต์แห่งกรุงโซล ในความคิดฉันคิดว่ายุนฮีต่อสู้เก่งที่สุดในแก๊งนะคะ เธอเป็นคนมั่นใจและเถรตรง แต่ก็มีน้ำใจและมีความน่ารักน่าเอ็นดู ถือเป็นตัวละครที่คอยช่วยเหลือพวกพี่ๆ ในสถานการณ์ที่ต้องใช้พละกำลังค่ะ

 

องซองอู: จุนกิเป็นน้องเล็กมือทองที่น่ารักน่าเอ็นดู เป็นทั้งมาสคอตประจำแก๊งและช่างซ่อมอัจฉริยะ นอกจากจะเป็นน้องเล็กที่คอยสร้างรอยยิ้มแล้ว ก็ยังรับหน้าที่ดัดแปลงรถให้เท่พร้อมใช้ในภารกิจพิเศษครับ

 

ภาพ: Netflix

 

ในเรื่อง พัคจูฮยอน ตัวละครคุณเป็นถึงประธานชมรมรถจักรยานยนต์แห่งกรุงโซล คุณเตรียมตัวอย่างไรบ้างสำหรับบทนี้

พัคจูฮยอน: โชคดีที่ฉันขับมอเตอร์ไซค์เป็นอยู่แล้ว เลยคิดว่าไม่น่าจะยากเท่าไร แต่พอได้ไปเห็นนักแข่งตัวจริงที่สนามถึงได้รู้ว่ามันคนละชั้นกันเลยค่ะ เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยเปลี่ยนมอเตอร์ไซค์ของตัวเองเป็นรุ่นเดียวกับที่ยุนฮีใช้ในเรื่อง ส่วนล้อรถอาจจะไม่เหมือนเป๊ะ แต่ก็พยายามหาที่ใกล้เคียงที่สุดเพื่อทำให้มือและเท้าคุ้นเคยกับรถให้ได้มากที่สุดค่ะ

 

บทบาทที่ได้รับใน Seoul Vibe คือนักซิ่งรถมือต้นๆ ของโซล แต่ได้ยินมาว่าในความเป็นจริงยูอาอินไม่ค่อยเป็นมิตรกับรถยนต์เท่าไรนัก

ยูอาอิน: ผมมีใบขับขี่รถยนต์แบบธรรมดานี่แหละครับ แต่เพื่อภาพยนตร์ผมก็พยายามทำความคุ้นเคยกับรถอย่างเต็มที่ ผมไปที่สนามเซอร์กิตและเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ และการดริฟต์จากนักดริฟต์ตัวจริงด้วยนะครับ

 

อย่างหนึ่งที่ชัดเจนมากๆ และเราเห็นแล้วคิดถึงมากๆ ก็คือแฟชั่นการแต่งตัวของพวกคุณใน Seoul Vibe อยากให้พวกคุณลองอธิบายให้ฟังในหนึ่งประโยค

ยูอาอิน: All Black ครับ ด้วยมุมมองแล้วการแต่งดำทั้งชุดเป็นลุคแบบ All Black อาจช่วยตัวละครให้ดูกร้านโลก แต่จริงๆ แล้วสร้อยทองคำวิบวับเส้นนั้นเป็นไอเท็มสำคัญที่ทำให้ดงอุคดูมีมาดเลยครับ

 

โกคยองพโย: ตัวละครของผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกค่อนข้างมาก หมวกรูปจิงโจ้เป็นซิกเนเจอร์ของอูซัมเลยก็ว่าได้ครับ ผมไม่แน่ใจว่าสมัยนี้เขายังฮิตกันอีกหรือเปล่า แต่ในยุคนั้นนักร้องฮิปฮอปฝั่งอเมริกาสวมหมวกแบบนั้นเยอะมากครับ ถ้าจะให้อธิบายภายในหนึ่งประโยค คงเป็น ‘เปลือกนอกสำคัญที่สุด’ สำหรับดีเจอูซัมครับ

 

องซองอู: ‘โอลด์สคูล’ ครับ ผมเริ่มเต้นและสนใจสไตล์ฮิปฮอปตั้งแต่สมัยมัธยม และก็ได้ดูสารคดีหรือคลิปที่เกี่ยวข้องเยอะ พอเห็นสไตล์การแต่งตัวของพวกนักร้องหรือนักเต้นฮิปฮอปแล้ว ผมเองก็อยากแต่งแล้วดูดีเหมือนพวกเขาบ้าง และก็อยากถือโอกาสนี้ลองเปลี่ยนลุคเป็นลุคที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงครับ

 

อีคยูฮยอง: ในรูปผมอาจจะใส่เสื้อแขนกุดสีขาวกับกางเกงยีนส์อยู่ แต่ความจริงสีที่ผมใส่บ่อยมากที่สุดในเรื่องคือสีเหลืองครับ ถ้าจะให้อธิบายนิยามแฟชั่นของผมคงเป็น ‘คุมโทน’ เพราะคุมโทนกับสีรถแท็กซี่ที่ผมขับ

 

พัคจูฮยอน: ตามบทแล้วยุนฮีมีความเป็นผู้หญิงสูงมาก ใส่เสื้อพอดีตัว แต่ฉันปรับเปลี่ยนสไตล์ของเธอให้ดูห้าวๆ มีความเกิร์ลครัช ใส่เสื้อตัวหลวมๆ กับกางเกงขาบานๆ อะไรแบบนี้ เพื่อให้เข้ากับลุคของพี่ๆ ในแก๊งด้วยค่ะ  

 

ภาพ: Netflix

 

และนอกจากทีมแก๊งวัยรุ่นซิ่งรถ ยังมีนักแสดงรับเชิญที่เชื่อว่าจะขโมยซีนได้ที่สุดอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือ ซงมินโฮ (MINO) 

ผู้กำกับมุนฮยอนซอง: ทั้งผมและทีมงานทุกคนได้วาดภาพไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าอยากทำออกมาให้มีกลิ่นอายของฮิปฮอป โชคดีที่ซงมินโฮตอบรับอย่างเต็มใจ ทำให้ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่าจะทำอย่างไรให้เพิ่มสีสันให้กับภาพยนตร์มากขึ้น ตอนถ่ายทำจริงเขาสนุกอย่างเต็มที่กว่าที่คิดไว้มากเลยครับ

 

นอกจากนี้ ในพาร์ตของดนตรี Seoul Vibe จะมีทั้งเพลงฮิปฮอปที่ฮิตมากๆ ในอเมริกาตั้งแต่ก่อนยุคปี 1988 ส่วนช่วงครึ่งหลังของเรื่องก็จะเป็นเพลงฮิปฮอปที่ฮิตในเกาหลีในยุคนั้นครับ พวกเราอยากจะทำมิกซ์เทปออกมาให้หลากหลาย และก็ได้รับความช่วยเหลือจากซงมินโฮ (MINO), Gaeko,​ ดีเจโซลสเคป และทีมทำดนตรีครับ

 

เบื้องหลังภาพยนตร์ Seoul Vibe ที่จะทำให้เราเข้าใจบรรยากาศปี 1988 มากยิ่งขึ้น

 

ทีมงานภาพยนตร์ Seoul Vibe ได้ถ่ายทอดบรรยากาศแบบนิวเรโทร (New Retro) ของปี 1988 โดยค้นคว้าข้อมูล ทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อให้ทุกอย่างสมจริง นอกเหนือจากนั้นคือเรื่องราวของ Seoul Vibe ที่ต้องการสื่อสารเมสเสจสำคัญไปสู่สังคม ผู้กำกับมุนฮยองซอง ได้ตอบคำถามนี้ไว้ว่า

ผู้กำกับมุนฮยอนซอง: ไม่ว่าจะเป็นซังกเยดงหรือฉากต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ ทุกอย่างในยุคสมัยนั้นล้วนเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่สำหรับผมให้เชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ และสร้างโลกสมมติของปี 1988 ขึ้นมาใหม่ 

 

รายละเอียดบางอย่างในภาพยนตร์อาจจะไม่ได้ปรากฏในสารคดีทางประวัติศาสตร์ แต่ถ้าได้ดูซ้ำหลายๆ รอบ ผมคิดว่าทุกคนน่าจะเพลิดเพลินยิ่งขึ้นครับ ส่วนเมสเสจหลักที่ผมอยากถ่ายทอดผ่านผลงานเรื่องนี้คือ การที่แก๊งซูพรีมทีมที่ดูวุ่นวายและดูไม่น่าจะเข้ากันได้ต้องมาพัวพันกับภารกิจอันใหญ่หลวง ซึ่งถือเป็นการท้าทายสำหรับกลุ่มคนธรรมดาๆ ทั่วไปครับ

 

ภาพ: Netflix

 

Seoul Vibe ซิ่งทะลุโซล จะพาเราย้อนไปสู่เกาหลีใต้ในช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังวิ่งไล่ตาม American Dream ช่วงคาบเกี่ยวของการสิ้นสุดรัฐบาลทหาร และการเริ่มเบ่งบานของดนตรีและแฟชั่น โดยในวันที่มีการจัดพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1988 อย่างยิ่งใหญ่ ได้เกิดอาชญากรรมครั้งใหญ่ขึ้น ขณะที่ทุกคนต่างวุ่นวายกับหน้าที่ของตนเอง แก๊งนักซิ่งวัยรุ่น ‘ซังกเยดงซูพรีมทีม’ ได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อจับตัวคนร้ายคดีฟอกเงินระดับชาติที่มีกลุ่มคนระดับวีไอพีอยู่เบื้องหลัง

 

Seoul Vibe นำแสดงโดย ยูอาอิน, โกคยองพโย, อีคยูฮยอง, พัคจูฮยอน, องซองอู กำกับโดย มุนฮยองซอง ผลิตโดย ANDMARQ Studio ออริจินัลซีรีส์ของ Netflix ออกอากาศวันแรก 26 สิงหาคม 2022

 

ตัวอย่างซีรีส์ Seoul Vibe ซิ่งทะลุโซล

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising