×
SCB Omnibus Fund 2024

ก.ล.ต. เผยยอดผู้เสนอขาย IPO ปี 2564 สูงสุดในรอบ 4 ปี มูลค่าเสนอขายสูงถึง 1.37 แสนล้านบาท

30.12.2021
  • LOADING...
IPO

ก.ล.ต. เผยข้อมูลปี 2564 ตลาดหุ้นไทยออก IPO ถึง 41 หลักทรัพย์ สูงสุดรอบ 4 ปี มูลค่าสูงถึง 1.37 แสนล้านบาท ติดอันดับต้นๆ ของอาเซียน รองจากอินโดนีเซียเท่านั้น ระบุกลุ่มทรัพยากร ธุรกิจการเงิน อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง เข้ามาระดมทุนมากสุด

 

ฝ่ายจดทะเบียนหลักทรัพย์ 3 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ปัจจุบันประชาชนมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น และภาคธุรกิจหลายแห่งเริ่มกลับมาเปิดดำเนินการได้ตามปกติ สะท้อนว่าสภาวะเศรษฐกิจรวมถึงตลาดทุนของไทยเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเห็นได้จากจำนวนบริษัทที่ระดมทุนผ่านการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และบริษัทที่ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา

 

ในปี 2564 มีบริษัทที่ออก IPO มากถึง 41 หลักทรัพย์ ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงสุดในรอบ 4 ปี และเพิ่มขึ้น 52% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 ที่มีจำนวน IPO 27 หลักทรัพย์ รวมทั้งบริษัทที่ยื่นคำขออนุญาตเสนอขาย IPO ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ในปี 2564 ก็พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งมี 45 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2564) เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีจำนวน 39 บริษัท แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของผู้ลงทุนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินพร้อมที่จะลงทุน และยังแสดงให้เห็นมุมมองเชิงบวกของผู้ประกอบธุรกิจต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย รวมทั้งเป็นสัญญาณว่าผู้ประกอบธุรกิจสามารถพึ่งพาตลาดทุนเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับเพิ่มสภาพคล่องและความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตได้

 

หากพิจารณาในด้านมูลค่าการเสนอขาย IPO ของปี 2564 ก็สูงถึง 1.37 แสนล้านบาท ซึ่งสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศในกลุ่มอาเซียน เป็นรองเพียงแค่ประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น

 

นอกจากนี้ยังมีอีก 23 หลักทรัพย์ที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาคำขออนุญาตฯ หรือได้รับอนุญาตแล้วแต่ยังไม่ได้เสนอขาย IPO

 

เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของบริษัทที่เสนอขาย IPO ในปี 2564 โดยแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการระดมทุนสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่

 

  1. กลุ่มทรัพยากร (จำนวน 3 บริษัท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวม 42.6%)
  2. กลุ่มธุรกิจการเงิน (จำนวน 3 บริษัท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวม 29.1%)
  3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (จำนวน 11 บริษัท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวม 12.3%)

 

โดยในช่วงปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด แต่สถานการณ์เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐส่งผลให้หลายบริษัทมองถึงการกลับมาฟื้นตัวของอุปสงค์ระยะยาวในอนาคต เช่น อุปสงค์ความต้องการด้านพลังงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาขยายตัว รวมถึงการขนส่งและเดินทางที่เพิ่มขึ้น และเมื่อเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การจับจ่ายใช้สอยและการขยายตัวของสินเชื่อก็จะโตตามไปด้วย 

 

นอกจากนี้สถานการณ์โควิดยังส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป เช่น อุปสงค์ของที่อยู่อาศัยในแนวราบที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงการระบาดของโรคดังกล่าว ผู้อยู่อาศัยจะใช้เวลาเฉลี่ยต่อวันในการอยู่บ้านมากขึ้นจากแนวโน้มการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ซึ่งที่อยู่อาศัยแนวราบแบบบ้านเดี่ยวหรือทาวน์โฮมสามารถตอบโจทย์ในเรื่องพื้นที่ใช้สอยของผู้อยู่อาศัยได้มากกว่า

 

จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าตลาดทุนของประเทศไทยเป็นแหล่งระดมทุนรูปแบบหนึ่งที่มีประสิทธิภาพและโดดเด่นในสายตาของนักลงทุน และ ก.ล.ต. มุ่งมั่นที่จะพัฒนาตลาดทุนให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงได้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ภาคธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising