×

‘เอสซีจี’ หั่นทุกเป้า! ยอมรับรายได้ปี 66 ต่ำกว่าปีก่อน พิษเศรษฐกิจชะลอทำดีมานด์สินค้าหด พร้อมรัดเข็มขัดลดงบลงทุนเหลือ 4 หมื่นล้านบาท

27.07.2023
  • LOADING...
รายได้ SCG 2023

พิษเศรษฐกิจชะลอกระทบ ‘เอสซีจี’ ปรับลดเป้าหมายรายได้ปี 2566 ลงจากเดิมตั้งเป้าโต 10% เป็นเหลือรายได้ปีนี้ต่ำกว่าปี 2565 หลังดีมานด์สินค้าตลาดหลักหดตัวหนัก ผนวกธุรกิจปิโตรเคมีคอลเกิดโอเวอร์ซัพพลายฉุดราคาขายร่วง จ่อนัดบอร์ดถกทบทวนแผนไอพีโอ SCGC ในเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้

 

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายการเติบโตของรายได้บริษัทในปี 2566 ลงมา โดยคาดว่ารายได้ในปีนี้จะต่ำกว่าปี 2565 จากเดิมที่คาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตขึ้นประมาณ 10% จากปี 2565 ที่มีรายได้ประมาณ 5.82 แสนล้านบาท หลังจากในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2.53 ล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักจากยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจจากสถานการณ์ตลาดที่อ่อนตัว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

อีกทั้งยังถูกผลกระทบจากปัจจัยลบหลายประเด็น ประเด็นแรกคือดีมานด์ตลาดวัสดุก่อสร้างและปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียนที่หดตัวลง โดยในบางประเทศตลาดมีการหดตัวมากถึง 10-20% ถือว่ามีผลกระทบกับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศประมาณ 45% ของรายได้รวม ซึ่งฐานหลักมาจากตลาดภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

 

ส่วนประเด็นกดดันที่สองคือดีมานด์ธุรกิจแพ็กเกจจิ้งทั้งตลาดในประเทศและภูมิภาคอาเซียนก็หดตัวลงประมาณ 10-20% และประเด็นที่สามคือกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีคอลที่มีราคาขายเฉลี่ยลดลงประมาณ 10-20% จากผลกระทบของการเกิดโอเวอร์ซัพพลายตลาดโลกที่มีกำลังผลิตใหม่ออกมาเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก โดยสถานการณ์ทั้งหมดดังกล่าวได้เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และคาดว่าจะยังเกิดขึ้นกดดันต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ต่อไป

 

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจของจีนถือว่ายังฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่ประเมินไว้ รวมทั้งกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างยุโรปและสหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูง จึงมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวเพิ่มสูง รวมถึงภาพรวมของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ถือเป็นตลาดที่สำคัญของบริษัทก็ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้

 

ขณะที่เศรษฐกิจของไทยเริ่มมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี โดยได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี ส่งผลให้สินค้าที่มีความเกี่ยวข้องมียอดขายที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามไปด้วย

 

อย่างไรก็ดี มีความกังวลว่าหากสถานการณ์การเมืองในประเทศเกิดกรณีที่มีการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้ายืดเยื้อต่อไป อาจส่งผลกระทบให้การลงทุนในโครงการภาครัฐใหม่ๆ มีความล่าช้าตามไปด้วย รวมถึงปัญหาภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยที่ยังต้องติดตาม

 

นอกจากนี้บริษัทได้ปรับลดงบลงทุนรวมในปีนี้ลงจากแผนเดิมที่ตั้งไว้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท มาเหลือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจปัจจุบัน โดยงบลงทุนหลักของปีนี้จะเน้นการลงทุนโครงการต่อเนื่องให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่วางไว้ โดยมีโครงการลงทุนหลักคือโครงการปิโตรเคมีครบวงจรที่เวียดนาม (LSP) ขนาดกำลังผลิต 1.50 ล้านตันต่อปี ให้แล้วเสร็จและทดสอบโครงการได้ภายในปีนี้

 

“สถานการณ์แบบนี้บริษัทต้องมีความระมัดระวังค่อนข้างมากในการลงทุน เราให้น้ำหนักความกังวลทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาคยังมีความท้าทายมาก มีความเสี่ยงที่มีผลกระทบเยอะ ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เพิ่งปรับขึ้นดอกเบี้ยแสดงให้เห็นว่าประเด็นเงินเฟ้อยังต้องสู้ต่อไป ประเด็นต่อมาคือความเสี่ยงในเรื่องของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกจะมีมากขึ้น ดังนั้นภาคธุรกิจต้องระวังมากขึ้นด้วย ทำให้บริษัทจำเป็นต้องมีการรัดเข็มขัด”

 

สำหรับความคืบหน้าของแผนการนำเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย คณะกรรมการ (บอร์ด) ของทั้ง SCC และ SCGC มีการประชุมในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ เพื่อพิจารณาทบทวนแผนการทำ IPO ของ SCGC ซึ่งในขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีการเลื่อนแผนการขาย IPO ออกไปจากกำหนดการเดิมหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบอร์ดทั้ง 2 บริษัท

 

“กรณีหาก SCGC ไม่สามารถขาย IPO ได้ตามแผนในเดือนตุลาคมปีนี้ และเข้าซื้อขายได้ทันในไตรมาส 4/66 ก็จะต้องมีการยื่นไฟลิ่งเพื่อขออนุญาตขอขาย IPO ใหม่อีกครั้ง แต่คงต้องเว้นระยะเวลาไปสักพักหนึ่งก่อนถึงจะกลับมายื่นไฟลิ่งใหม่อีกครั้งได้”

 

ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/66 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 8,082 ล้านบาท ลดลง 19% จากช่วงเดียวของปีก่อน และลดลง 51% จากไตรมาสก่อน เป็นไปตามรายได้จากการขายลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจ

 

สำหรับกำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 24,608 ล้านบาท มาจากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/66 ขณะที่กำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit Excluding Extra Items) อยู่ที่ 9,786 ล้านบาท แต่ลดลง 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2566 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพุธที่ 9 สิงหาคม 2566) โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566

 

ด้านการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น SCC จากต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน โดยเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 ขึ้นไป ทำจุดสูงสุดที่ 360 บาท เพิ่มขึ้น 16 บาท หรือ 4.65% จากราคาปิดสิ้นปี 2565 ที่ 344 บาท จากนั้นในวันที่ 25 เมษายน 2566 ราคาร่วงไปทำจุดต่ำสุดที่ 300 บาท ลดลง 44 บาท หรือ 12.8% จากราคาปิดสิ้นปี 2565 โดยล่าสุดวันนี้ (27 กรกฎาคม) ราคา SCC ปิดการซื้อ-ขายที่ 322 บาท ลดลง 22 บาท หรือ 6.4% จากราคาปิดสิ้นปี 2565

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising