×

SCB เจาะกลุ่มลูกค้าเวลธ์ เตรียมขายกองทุนเปิด Double Structured Complex Return อายุ 1 ปี ลงทุนขั้นต่ำ 5 แสนบาท

30.08.2022
  • LOADING...
Double Structured Complex Return

ธนาคารไทยพาณิชย์รุกตลาดลูกค้าเวลธ์ เตรียมเสนอขายกองทุนเปิด Double Structured Complex Return 1 YA (SCBDSHARC1YA) ระหว่างวันที่ 1-9 กันยายน 2565 ชูจุดเด่นเน้นลงทุนตราสารหนี้และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงราคาทองคำ ช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และเพิ่มมูลค่าให้พอร์ตลงทุนในช่วงเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

 

ศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย CIO Office ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารจะเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Double Structured Complex Return 1 YA ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (SCBDSHARC1YA) ในวันที่ 1-9 กันยายน 2565 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท อายุโครงการ 1 ปี เงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท นับเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน จัดอยู่ในระดับความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง (ระดับ 5)

 

กองทุน SCBDSHARC1YA มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ และ/หรือ เงินฝาก ตราสารทางการเงินที่เสนอขายในประเทศ และ/หรือ ต่างประเทศ รวมทั้งหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้หรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) รวมกันทั้งสิ้นประมาณ 99.25% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (NAV) โดยมีเป้าหมายให้เงินส่วนนี้เติบโตครอบคลุมเงินต้น กองทุนจะเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign Exchange Rate Risk) ทั้งจำนวน 

 

นอกจากนี้ กองทุนจะแบ่งเงินลงทุนประมาณ 0.75% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เช่น สัญญาออปชัน (Option) ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำ Gold Spot (XAUUSD) ตามเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทน เพื่อเปิดโอกาสให้กับกองทุนสามารถแสวงหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำ Gold Spot

 

โดยกองทุน SCBDSHARC1YA สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนของเงินต้น ผ่านการเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ ทั้งตราสารหนี้และเงินฝากของผู้ออกตราสารที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ระดับ Investment Grade ขึ้นไป พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนชดเชยใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และโอกาสรับผลตอบแทนจากสัญญาออปชัน ที่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาทองคำ สำหรับผลตอบแทนคาดการณ์ของกองทุนสามารถเกิดขึ้นได้จาก 3 กรณี ดังนี้ 

 

กรณีที่ 1 ราคาสินทรัพย์อ้างอิง ณ วันทำการวันใดวันหนึ่งตลอดอายุสัญญาออปชัน ปรับลดลงมากกว่า -10% หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า +10% เมี่อเทียบกับราคาสินทรัพย์ ณ วันเริ่มต้นสัญญา (Knock-out) จะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน บวกผลตอบแทนชดเชย 0.25% ณ วันครบอายุโครงการ

 

กรณีที่ 2 ราคาสินทรัพย์อ้างอิง ณ วันพิจารณาไม่เปลี่ยนแปลง หรือปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน +10% เมื่อเทียบกับราคาสินทรัพย์ ณ วันเริ่มต้นสัญญา จะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน บวกผลตอบแทนจากออปชัน 

 

กรณีที่ 3 ราคาสินทรัพย์อ้างอิง ณ วันพิจารณาปรับลดลงไม่เกิน -10% เมื่อเทียบกับราคาสินทรัพย์ ณ วันเริ่มต้นสัญญา จะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน บวกผลตอบแทนจากสัญญาออปชัน (หากราคาสินทรัพย์ติดลบ แต่ผลตอบแทนจากสัญญาออปชันยังจ่ายผลตอบแทนเป็นบวก) 

 

ตัวอย่างการคำนวณผลตอบแทนของกองทุน SCBDSHARC1YA สมมติฐานเงินลงทุน 1,000,000 บาท ตัวอย่าง กรณีไม่มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน USD / THB จะได้รับผลตอบแทนดังนี้ 

 

1. ราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับขึ้นหรือลดลงเกินกรอบ -10%, +10% = Knock-out จะได้รับผลตอบแทนจากออปชัน = 0% ผลตอบแทนรวม = เงินต้น + ผลตอบแทนชดเชย (1,000,000 + 2,500 บาท ) = 1,002,500 บาท

 

2. ราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่เกิน +10% ผลตอบแทนจากออปชัน = 50% x ดัชนีอ้างอิง ณ วันที่พิจารณา หารดัชนีอ้างอิง ณ วันเริ่มต้น ลบ 1 เช่น 50% x (1,080 / 1,000 – 1) x 1,000,000 บาท = 0.04 x 1,000,000 บาท = 40,000 บาท ดังนั้น จะได้รับเงินต้นบวกผลตอบแทนจากออปชัน = 1,040,000 บาท 

 

3. ราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวลดลงไม่เกิน -10% ผลตอบแทนจากออปชัน = 50% x ดัชนีอ้างอิง ณ วันที่พิจารณา หารดัชนีอ้างอิง ณ วันเริ่มต้นสัญญา ลบ 1 เช่น 50% x (920 / 1,000 – 1) x 1,000,000 บาท = 0.04 x 1,000,000 บาท = 40,000 บาท ดังนั้น จะได้รับเงินต้นบวกผลตอบแทนจากออปชัน 1,000,000 + 40,000 บาท = 1,040,000 บาท 

 

ตัวอย่างกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน USD / THB จะได้รับผลตอบแทนดังนี้ 

 

กรณีที่ 1 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ณ วันเริ่มต้นสัญญา อยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ และวันที่พิจารณาดัชนีอ้างอิงอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ มีวิธีการคำนวณดังนี้ อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันพิจารณาดัชนีอ้างอิง หารอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันเริ่มต้นสัญญา เช่น (30 / 35 = 0.86 ) การเปลี่ยนแปลงของดัชนีอ้างอิง ณ วันครบอายุสัญญา หารดัชนีอ้างอิง ณ วันเริ่มต้นสัญญา (1,080 / 1,000) – 1 = 0.08 ดังนั้น ผลตอบแทน (50% x 0.08) x 0.86 x 1,000,000 = 34,400 บาท โดยจะได้รับผลตอบแทนรวมเงินต้น + ดอกเบี้ย + ออปชัน = 1,034,400 บาท 

 

กรณีที่ 2 ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ณ วันเริ่มต้นสัญญา อยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ และวันที่พิจารณาดัชนีอ้างอิงอยู่ที่ 40 บาทต่อดอลลาร์ โดยคำนวณดังนี้ อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันพิจารณาดัชนีอ้างอิง หารอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันเริ่มต้นสัญญา เช่น (40 / 35 = 1.14) การเปลี่ยนแปลงของดัชนีอ้างอิง ณ วันที่พิจารณา หารดัชนีอ้างอิง ณ วันเริ่มต้นสัญญา (1,080 / 1,000) – 1 = 0.08 ผลตอบแทน (50% x 0.08 ) x 1.14 x 1,000,000 = 45,600 บาท จะได้รับผลตอบแทนรวมเงินต้น + ดอกเบี้ย + ออปชัน = 1,045,600 บาท 

 

สำหรับทิศทางของราคาทองคำที่ใช้เป็นสินทรัพย์อ้างอิงในการลงทุนนี้ มองว่ามีทิศทางเป็น Sideway ในอีก 1 ปีข้างหน้า หลังมีอุปสงค์ต่อทองคำจากธนาคารกลางหลายแหล่งในโลกเข้าช้อนซื้อทองคำ เพื่อใช้เป็นทุนสำรองในยามที่ราคาทองคำอ่อนค่าลงจากแรงกดดันของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และมองว่ากระแสการดำเนินการเช่นนี้จะมีอยู่ต่อไปจนถึงปีหน้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ การเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway นี้ จึงเหมาะสมที่จะใช้เป็นสินทรัพย์อ้างอิงสำหรับการลงทุนในกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Double Structured Complex Return 1 YA ที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าได้ แม้ในยามที่ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำเป็น Sideway 

 

ศรชัยกล่าวต่อไปว่า แนวโน้มทิศทางค่าเงินบาทในระยะสั้น เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่า เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ในช่วง 35.5-36.5 ต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการเร่งดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งผลให้ส่วนอัตราดอกเบี้ย (Rate Differential) ระหว่างสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลก และสงครามรัสเซียที่กระทบกลุ่มยุโรปรุนแรง ส่งผลให้นักลงทุนปิดรับความเสี่ยง และเข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ด้านประเทศไทย ดุลบัญชีเดินสะพัดยังขาดดุลอยู่ในไตรมาส 3 จากราคาพลังงานที่สูง ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าปรับสูงขึ้น 

 

นอกจากนี้ เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ถือเป็นอีกปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาท แต่อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่าอีกมากนัก เนื่องจากนักลงทุนได้ Price-in ความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยไปมากแล้ว อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยยังดูแลความผันผวนของค่าเงินบาทผ่านการใช้เงินทุนสำรอง

 

ทั้งนี้ ค่าเงินบาทในช่วงไตรมาส 4 มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้นในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้น Portfolio Flow จากนักลงทุนต่างชาติ ทางด้านดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มกลับมาเกินดุล จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันและค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มลดลง และการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ Fed มีแนวโน้มช้าลงในไตรมาส 4

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising