SC Asset ฝ่าปัจจัยลบ จ่อเปิดอีก 15 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง มูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท หลังโกยกำไรสุทธิครึ่งปีแรกไปกว่า 1,128 ล้านบาท

SC Asset ไม่หวั่นปัจจัยลบ พร้อมเปิดอีก 15 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลังนี้ โดยมูลค่ารวมกว่า 23,000 ล้านบาท หลังผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกทำรายได้ 10,136 ล้านบาท พร้อมโกยกำไรสุทธิ 1,128 ล้านบาท

“จากนี้พร้อมเปิด 15 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 13 โครงการ ภายใต้แบรนด์บ้านชั้นนำจาก SC อาทิ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด, บางกอก บูเลอวาร์ด, เดอะ เจนทริ, เวนิว ไอดี และวี คอมพาวด์ และแนวสูง 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ COBE และ SCOPE” อรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว

พร้อมเดินหน้าสรรหาที่ดินในทุกทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต เข้ารองรับความต้องการลูกค้าทุกพื้นที่ต่อไป 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

• SC Asset จะใช้เงิน 1.2 พันล้านซื้อที่ดิน 22 แปลงบริเวณถนนลาดหญ้าจากตระกูลชินวัตร พร้อมเดินหน้าซื้ออพาร์ตเมนต์ให้เช่าในสหรัฐฯ ด้วย

• SC Asset มองแบรนด์แข็งเกร่งที่จะขึ้นไปเล่นในตลาด Ultimate Luxury ส่งบ้านเดี่ยว ‘95E1’ เริ่มที่ 100 ล้านบาท เป็นราคาเริ่มต้นสูงสุดที่เคยเปิดขายมา

• SC Asset บุกธุรกิจ Logistics จับมือ Flash Group พัฒนาอาคารคลังสินค้า 1 ล้าน ตรม. ภายในปี 2030

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก 2566 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 10,136 ล้านบาท เติบโต 12% (YoY) แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 95% และรายได้จากการเช่าและบริการ 5% มีกำไรสุทธิ 1,128 ล้านบาท เติบโต 16% (YoY) โดยรายได้หลักจากการขาย 9,621 ล้านบาท เติบโต 12% มาจากรายได้โครงการแนวราบ 7,597 ล้านบาท และรายได้จากโครงการแนวสูง 2,024 ล้านบาท เติบโตโดดเด่น 111% (YoY) 

ถึงกระนั้นการเติบโตยังมาจากการเปิด 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ 95E1 Ultra Luxury Residence โครงการใหม่ระดับ 100 ล้านบาท บนทำเลเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เพียง 10 ยูนิต ตามด้วย COBE รัชดา-พระราม 9 คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

รวมถึงการโอน 2 โครงการระดับ Super Luxury ได้แก่ 28 CHIDLOM, SCOPE Langsuan และมียอดขายรอโอนหรือ Backlog รวม 13,009 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 โดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี 2566 แล้วในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 6 กันยายน 2566 

พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีการจับมือกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่างโตเกียว ทาเทโมโนะ (Tokyo Tatemono) ธุรกิจอสังหาระดับแนวหน้าของประเทศญี่ปุ่น โดยมีการร่วมทุนโครงการแรก คือ เรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่ มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท และในอนาคตก็มีแผนร่วมทุนกันต่อไป 

“เรียกว่าในปี 2566 นี้ SC ยังมีโครงการเพื่อขายรวมทั้งหมด 74 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 81,000 ล้านบาท ในสัดส่วนแนวราบ 70% และแนวสูง 30% ที่สำคัญบริษัทมีความพร้อมเพื่อรับมือกับปัจจัยความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมืองรอบด้าน ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าบริษัทจะทำสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” อรรถพลย้ำ