×

SCB CIO คาดปัญหาแบงก์สหรัฐฯ-ยุโรป คุมเข้มปล่อยกู้เงิน บวกพิษดอกเบี้ยขาขึ้น เสี่ยงเร่งสหรัฐฯ เข้า Recession ภายในปีนี้

24.04.2023
  • LOADING...
สหรัฐ เศรษฐกิจถดถอย

SCB CIO คาดสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่า Fed, ECB รวมถึง ธปท. จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 2/66 แต่ยังไม่หั่นดอกเบี้ยลงในปีนี้ แนะนำป้องกันความเสี่ยงเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลในพอร์ต

               

กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากความตึงเครียดในภาคการเงิน (Financial Sector Stress) โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ทำให้สถาบันการเงินในสองกลุ่มประเทศนี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ (Lending Standard) มากขึ้น จากเดิมที่มีความเข้มงวดสูงอยู่แล้ว จึงคาดว่าจะส่งผลลบต่อการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจและธุรกิจในระยะข้างหน้า

 

ล่าสุด IMF ประเมินว่า การปล่อยสินเชื่อที่มีแนวโน้มลดลงน่าจะส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสองกลุ่มประเทศนี้ ในช่วง 1 ปีข้างหน้าได้รับผลกระทบประเทศละประมาณ -0.4% เมื่อบวกกับผลของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ SCB CIO คาดว่า ประเด็นความกังวลด้านเศรษฐกิจถดถอย (Recession Concern) โดยเฉพาะในสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2566 

 

ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังเป็นปัจจัยบวกหลักของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก แต่จากตัวเลข GDP ไตรมาส 1/66 ที่เติบโต 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อดูในรายละเอียดยังสะท้อนการฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง (Uneven Recovery) โดยการบริโภคในประเทศส่งสัญญาณฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แต่ภาคการลงทุนยังฟื้นตัวช้า ส่วนภาคส่งออกแม้มีสัญญาณผ่านจุดต่ำสุด แต่ระยะข้างหน้ายังถูกกดดันจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมาก สะท้อนจากตัวเลขค้าปลีก ล่าสุดส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคมปีนี้ ขยายตัว 10.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  

 

สำหรับในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปีนี้ขยายตัว 3.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการลงทุนสินทรัพย์ถาวรช่วงไตรมาส 1/66 ยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้ตัวเลขส่งออกของจีนเดือนมีนาคมปีนี้ขยายตัว 14.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหลังหดตัวต่อเนื่อง 5 เดือนติดจะออกมาดีกว่าคาด แต่ยังคงต้องติดตามผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีน

 

กำพลกล่าวว่า SCB CIO ยังคงมีมุมมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 2/66 และไม่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทั้งนี้ Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 0.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พฤษภาคมนี้ และคงดอกเบี้ยที่ 5-5.25% จนถึงสิ้นปี เพราะถึงแม้อัตราเงินเฟ้อจะชะลอลงแต่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย ส่วน ECB อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงช้า แต่ความตึงเครียดจากภาคการเงินน่าจะทำให้ ECB ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% 

 

ในส่วนของ ธปท. น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ และคงดอกเบี้ยที่ 2% จนถึงปลายปี 2566 โดยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเริ่มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% ในไตรมาสที่ 2/66 แม้อุปสงค์ในประเทศจะมีการฟื้นตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและบริการ แต่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่มากกว่าคาด ยังเป็นปัจจัยกดดันภาคส่งออกไทย

 

แนะลงทุนพันธบัตรรัฐบาลหลบความเสี่ยง

โดยจากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มขึ้น แนะนำให้นักลงทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล (Positive) ในพอร์ต โดยจากการวิเคราะห์ของ SCB CIO พบว่า ช่วงที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงถดถอยสูง และเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง สินทรัพย์ที่มักจะถูกนำมาใช้ในการป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยคือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment Grade) ของสหรัฐฯ และทองคำ

 

แต่เมื่อพิจารณาจากผลตอบแทนต่อความผันผวน (Risk-Adjusted Return) จะพบว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์ที่ช่วยรับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยได้ดีที่สุด ดังนั้นเราจึงปรับมุมมองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็น Positive และปรับมุมมองหุ้นกู้คุณภาพสูงเป็น Slightly Positive แต่ยังคงมุมมองหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ที่ Slightly Negative เนื่องจากส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนจากหุ้นกู้ High Yield เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล มักเร่งตัวขึ้นในระยะถัดไปหลังการปล่อยสินเชื่อมีความเข้มงวดสูงขึ้น

 

นอกจากนี้ เรายังปรับมุมมองต่อทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว หรือ DM REITs เป็น Slightly Negative จากความกังวลในประเด็นอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ (CRE) ในกลุ่มออฟฟิศ และราคาบ้านที่ชะลอลงในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยแรงกดดันหลักที่มีต่อกลุ่มออฟฟิศมาจาก 

 

  1. ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และการมีหนี้ครบกำหนดชำระค่อนข้างมากในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า 
  2. การฟื้นตัวของรายได้ที่ช้ากว่าคาด หลังการเปิดเมือง เนื่องจากการทำงานแบบ Hybrid สำหรับอสังหาริมทรัพย์เชิงที่อยู่อาศัย ราคาที่อยู่อาศัยที่เริ่มชะลอลงตามแรงกดดันของดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การฟื้นตัวของค่าเช่าในอีก 12-18 เดือนได้รับผลกระทบตามไปด้วย 

 

อย่างไรก็ตามเรายังคงมุมมอง Slightly Positive ต่อ REITs ในสิงคโปร์และไทย ที่ยังมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์การฟื้นตัวของค่าเช่าและอัตราการเช่าต่อเนื่อง

 

สำหรับการลงทุนในหุ้น (Neutral) ยังคงต้องติดตามงบไตรมาสแรกของปี 2566 และความเสี่ยงจากการถูกปรับลดคาดการณ์กำไร แม้ธนาคารกลางส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะเริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงและความตึงเครียดในภาคการเงินของสหรัฐฯ และยุโรป ยังเป็นปัจจัยกดดันทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับลดคาดการณ์ได้ในช่วงที่เหลือของปี โดยเรายังแนะนำให้เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีน A-Share ที่คงมุมมอง Positive  ตลาดหุ้นจีน H-Share และตลาดหุ้นไทย เป็น Slightly Positive เนื่องจากมูลค่ายังน่าสนใจ และมีแนวโน้มกำไรฟื้นตัวในระยะข้างหน้า

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising