×

13 ปีที่ต่อสู้ ศาลปกครองสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินบริษัทน้ำมันปาล์ม ชี้ชาวบ้านมีสิทธิใช้ทรัพยากรในพื้นที่จัดสรรรัฐได้

โดย THE STANDARD TEAM
19.03.2021
  • LOADING...
_13-ปีที่ต่อสู้-ศาลปกครองสั่งให้เพิกถอน

วันนี้ (19 มีนาคม) ที่ศาลปกครอง นักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินจากเครือข่ายสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) พร้อมทีมทนายความจากสภาทนายความแห่งประเทศไทย และองค์กรโพรเทคชัน อินเตอร์เนชันแนล เดินทางเข้ารับฟังคำพิพากษาคดีที่นักปกป้องสิทธิในที่ดินชุมชนสันติพัฒนา ซึ่งเป็นสมาชิกของ สกต. จำนวน 20 คนรวมตัวกันยื่นฟ้องกรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดิน คณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กรมป่าไม้ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาพระแสง และบริษัทน้ำมันปาล์มเอกชนแห่งหนึ่งต่อศาลปกครอง

 

โดยยื่นฟ้องต่อกรมที่ดินขอให้มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดินที่ออกโดยไม่ชอบ และการยื่นฟ้องกรมป่าไม้ให้เร่งดำเนินคดีต่อบริษัทน้ำมันปาล์มที่บุกรุกเข้ามาใช้พื้นที่ป่าไม้ และให้ออกจากที่ดินดังกล่าว เพื่อให้ภาครัฐนำทรัพยากรที่ดินดังกล่าวไปจัดสรรอย่างเป็นธรรมและยั่งยืนในรูปแบบของโฉนดชุมชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางด้านที่ดินต่อไป

  

โดยก่อนหน้าที่ศาลปกครองจะอ่านคำพิพากษาในวันนี้ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจาก สกต. ได้เข้าฟังการแถลงพิจารณาคดีของตุลาการ โดยคำแถลงเบื้องต้นของตุลาการระบุให้มีการเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) จำนวน 7 แปลง จากทั้งหมด 10 แปลงที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนในที่ดินได้มีการฟ้องร้อง ส่วนที่ดินที่มีโฉนดอีก 13 แปลง ตุลาการผู้แถลงคดีได้อ่านคำแถลงให้มีการเพิกถอนทั้งหมด แต่ยกเว้นที่ดินบางส่วนที่อยู่นอกพื้นที่เขตป่า 

 

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ ศาลปกครองได้อ่านคำพิพากษาคดีดังกล่าว โดยมีคำพากษาให้เพิกถอนที่ดิน น.ส. 3 ก. จำนวน 10 แปลง และโฉนดที่ดินจำนวน 13 แปลง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลบางสวรรค์ อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทที่อยู่ในเขตพื้นที่ป่าที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พร้อมทั้งสั่งให้กรมป่าไม้ และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาพระแสง ดำเนินการกับบริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) ออกจากพื้นที่ภายใน 180 วัน นับแต่คำพิพากษาถึงที่สุด ส่วนอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ไม่เพิกถอนที่ดินที่ออกโดยมิชอบนั้น ศาลเห็นว่าเป็นการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด

 

ด้าน สรไกร ศรศรี ทนายความสิทธิมนุษยชนที่ทำคดีให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านที่ดิน กล่าวภายหลังจากฟังคำพิพากษาของศาลเสร็จสิ้นแล้วว่า วันนี้เรามาฟังคำพิพากษาของศาลปกครองกลางเกี่ยวกับการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่เป็น น.ส. 3 ก. และเป็นโฉนดที่กลุ่มนายทุนได้ออกในเขตพื้นที่ป่า ซึ่งทำให้ชาวบ้านและชุมชนไม่มีโอกาสและมีสิทธิในการใช้ทรัพยากร รวมถึงการถูกดำเนินคดีในหลายคดี ซึ่งวันนี้ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาที่ชัดเจนแล้ว ให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่เป็น น.ส. 3 ก.   10 แปลง และโฉนดที่ดินทั้งหมด 13 แปลงที่เป็นของนายทุน คดีนี้เราใช้เวลาในการต่อสู้ 8 ปีกว่าจะมีผลในคำพิพากษาวันนี้ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายอันดีในการต่อสู้ของชาวบ้านในชุมชนสันติพัฒนา 

 

สรไกรยังระบุเพิ่มเติมด้วยว่า เกี่ยวกับสิทธิในการฟ้องคดีที่ในหลายๆ คดีมักจะมีปัญหาในเรื่องอำนาจฟ้อง ซึ่งคดีดังกล่าวนี้ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าชาวบ้านในชุมชนสันติพัฒนา เป็นผู้ที่ใช้ประโยชน์ในพื้นที่นั้นมาก่อน เพียงแต่ตอนหลังมีการขับไล่ชาวบ้านในชุมชนให้ออกไปจากพื้นที่ และให้มีการดำเนินคดี จึงเป็นเหตุที่บอกว่าชาวบ้านได้รับความเดือนร้อนในการออกเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ชอบ ศาลได้วินิจฉัยรับรองว่าสิทธิที่จะใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน สิทธิในการที่จะดูแลพื้นที่ป่าของชาวบ้านในชุมชนมีอยู่ ชาวบ้านจึงมีสิทธิในการที่จะยื่นฟ้องคดีได้

 

ขณะที่ ศิริวรรณ ว่องเกียรติไพศาล ทนายความสิทธิมนุษยชน กล่าวเพิ่มเติมว่า คดีนี้มีการไต่สวนหลายครั้ง ชาวบ้านเรียกร้องต่อหน่วยงานหลายหน่วย จนกระทั่งมีการตรวจสอบแล้วว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่ป่าไม้ถาวรและป่าสงวนโดยไม่ชอบ การนำคดีมาสู่ศาลปกครองเป็นเรื่องที่ชาวบ้านพยายามเรียกร้องต่อหน่วยงานรัฐทุกหน่วยแล้ว แต่ปรากฏว่าหน่วยงานรัฐบางหน่วยงานก็ยังยืนยันว่าการออกเอกสารสิทธิ์นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และไม่ยอมเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ จนทำให้ชาวบ้านนำมาสู่การฟ้องร้องต่อศาลปกครอง และในที่สุดก็เป็นการยืนยันว่า สิ่งที่ชาวบ้านตรวจสอบและหน่วยงานรัฐอีกหลายหน่วยที่ตรวจสอบมีมูลและมีผลในทางคดี นำมาสู่การเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ของบริษัทในครั้งนี้จำนวน 23 แปลง และจะทำให้ชาวบ้านสามารถใช้ทรัพยากรให้เป็นประโยชน์ได้ 

 

ซึ่งหลังจากนี้เราก็จะดูว่าหน่วยงานของรัฐที่ศาลระบุ เช่น กรมป่าไม้ ต้องไปดำเนินการในการให้บริษัทออกจากพื้นที่ และหน่วยงานที่ออกเอกสารสิทธิ์นั้นมีการเพิกถอนหรือไม่ ซึ่งชาวบ้านจะทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการดำเนินคดีทางแพ่งฟ้องขับไล่ชาวบ้าน ซึ่งปัจจุบันยังมีการดำเนินการไต่สวนแสดงอำนาจพิเศษว่า ชาวบ้านมีสิทธิอยู่ในพื้นที่หรือไม่ ซึ่งประเด็นคือ บริษัทยังเข้าไปบังคับคดีกับชาวบ้าน โดยอ้างว่าตนเองมีสิทธิต่อไป เรื่องเหล่านี้จะเป็นการยืนยันว่าบริษัทไม่มีอำนาจที่จะไปฟ้องขับไล่ชุมชนอีก ตามคำพิพากษาของศาลในวันนี้ ศาลให้ระยะเวลา 180 วันในการดำเนินการนับตั้งแต่มีคำพิพากษา และเราคาดหวังว่าหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจะยอมรับในผลของคำพิพากษาโดยไม่อุทธรณ์คำพิพากษา 

 

ขณะที่ ณัฐาพันธ์ แสงทับ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจาก สกต. กล่าวถึงความรู้สึกหลังเข้าฟังคำพิพากษาของศาลว่า เราคิดว่ากรมที่ดินคงจะไม่ยื่นอุทธรณ์ และเราจะรอจนครบ 180 วัน เพื่อให้มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ และ สกต. เองก็จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อที่จะให้มีการเพิกถอน น.ส. 3 ก. และจะส่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมที่ดิน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงในการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ตามคำพิพากษา โดยเฉพาะกรมที่ดินอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จะต้องทำการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์

 

“พวกเรารู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากๆ ในการไปรับฟังคำพิพากษาในครั้งนี้ ไม่คิดว่าจะได้รับชัยชนะในระดับนี้ เราร่วมต่อสู้กันมาตลอดระยะเวลา 13 ปี และ 8 ปี ที่เรารอคำพิพากษาของศาลปกครอง วันนี้ถือว่าเรามีเหตุผลที่จะคุยได้อย่างเต็มที่แล้วว่า ชาวบ้านมีสิทธิในการใช้ที่ดินได้” นักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินระบุ   

 

ด้าน ปรานม สมวงศ์ จากองค์กรโพรเทคชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ทำงานปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า คดีนี้เป็นบรรทัดฐานทางประวัติศาสตร์ในการตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ที่มิชอบของรัฐให้แก่นายทุน ซึ่งกรณีนี้คือบริษัทน้ำมันปาล์มน้ำมัน เราเห็นได้ว่านักปกป้องสิทธิมนุษยชนมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบการทำงานที่มิชอบด้วยกฎหมายของหน่วยงานรัฐ และการส่งเสริมการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชน (Due Diligence) ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานประเด็นธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมถูกใช้ในการคุกคามโดยรัฐหรือหน่วยงานธุรกิจ และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และยังเป็นการละเมิดหลักการชี้นำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน แต่คำพิพากษาของศาลปกครองในคดีนี้ได้ผดุงซึ่งความยุติธรรม และสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำในสิ่งที่ถูกต้องหลังจากที่ละเลยมาเป็นเวลานาน เราหวังว่ากรมที่ดิน ฯลฯ จะไม่อุทธรณ์และดำเนินการเพิกถอนเอกสารโดยทันที อย่างน้อยที่สุดจะเป็นการชดเชยความผิดที่ทำมาตลอดหลายปี

 

สำหรับ สกต. คือองค์กรที่เป็นการรวมกลุ่มกันของเกษตรกรและแรงงานไร้ที่ดินจำนวนทั้งสิ้น 5 ชุมชน ในการเข้ามาตรวจสอบที่ดินของรัฐที่หมดสัมปทาน หรือการอนุญาตให้บริษัทเอกชนทำประโยชน์ในที่ดิน ซึ่งในการลงตรวจสอบของ สกต. พบว่า ในบางพื้นที่ที่เป็นของรัฐมีบริษัทเอกชนที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงนั้นๆ แต่กลับบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายมาเกือบ 40 ปี ในทางกลับกันชุมชนสันติพัฒนาซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนสมาชิกของ สกต. ที่ต่อสู้เรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน สิทธิในที่อยู่อาศัย และการบริหารจัดการที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน หรือสิทธิร่วมของชุมชนมาตั้งแต่ปี 2550 ต้องต่อสู้เผชิญหน้ากับบริษัทเอกชน ซึ่งทำธุรกิจปาล์มน้ำมันที่เข้ามาบุกรุกในที่ดินในเขตของ ส.ป.ก. และพื้นที่ป่าไม้ถาวรของกรมป่าไม้ จนไม่เหลือสภาพป่าเชิงประจักษ์ เพราะบริษัทได้ทำลายหมดไปนานแล้ว ยกเว้นพื้นที่ป่าชุมชนประมาณ 100 ไร่ ที่สมาชิกชุมชนสันติพัฒนาได้ร่วมกับปลูกขึ้นมาใหม่ในระยะ 13-14 ปีที่ผ่านมา

 

ที่ผ่านมา สกต. มีการเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาตรวจสอบการใช้ที่ดินจนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงมาตรวจสอบในพื้นที่ และพบว่ากรมที่ดินได้ออกเอกสารสิทธิ์ น.ส. 3 ก. รับรองการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้กับบริษัทโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเรียกร้องให้กรมที่ดินต้องเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าวทั้งหมด 310 ไร่ แต่กรมที่ดินปล่อยปละละเลย ไม่ได้ดำเนินการเพื่อเพิกถอนเอกสารที่ออกโดยมิชอบ จนกลายมาเป็นใบอนุญาตที่ให้บริษัทเอกชนฟ้องร้องสมาชิกชุมชนสันติพัฒนาในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ทำให้นักต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินหลายสิบรายต้องถูกดำเนินคดี และถูกเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินหลายล้านบาท รวมถึงถูกสั่งให้ขับไล่ออกจากที่ดินดังกล่าว จนนำมาสู่การยื่นฟ้องต่อศาลปกครองดังกล่าว

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising