หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลงจากเหตุการณ์โควิดแพร่ระบาด จนมาสู่การเริ่มฟื้นตัวจากการช่วยเหลือจากภาครัฐที่อัดฉีดสภาพคล่อง รวมถึงการควบคุมการแพร่ระบาดและการกระจายฉีดวัคซีนโควิดได้ดีในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว นำโดยสหรัฐฯ ยุโรป และจะตามมาด้วยญี่ปุ่น ส่งผลให้ประชาชนออกมาใช้ชีวิตที่เป็นปกติได้มากขึ้น ทำให้ประเทศเหล่านั้นกลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จึงเป็นโอกาสที่ดีในการกลับมาลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในช่วงเริ่มต้นของเศรษฐกิจขาขึ้น
โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดอย่างรุนแรงตั้งแต่ปี 2020 ที่ผ่านมานั้น เป็นที่ทราบกันดีว่ากลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบินเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอันดับแรกและหนักที่สุด ซึ่งทำให้ลุกลามไปในภาคส่วนอื่นๆ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และสายการบิน เป็นต้น และเมื่อกระแสการเปิดเมืองกลับมา ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างก็จับตามองและให้ความสนใจ
โดยข้อมูลล่าสุด (ณ วันที่ 6 มิถุนายน) จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ระบุว่า ยอดการติดเชื้อใหม่รายวันนั้นได้ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุด นับตั้งแต่ที่สหรัฐฯ พบรายงานผู้ติดเชื้อโควิด รายแรกในเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งนี้ได้ส่งสัญญาณการฟื้นตัวในสหรัฐฯ มากขึ้น โดยสังเกตได้จากตัวเลขอัตราการเข้าพักโรงแรมในสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวขึ้นใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด ในขณะที่อัตราการเข้าพักโรงแรมในยุโรปส่งสัญญาณการฟื้นตัวเช่นเดียวกัน แต่ยังคงไม่เท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด เนื่องจากยุโรปได้รับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดหลายระลอก อย่างไรก็ดี คาดว่าหลังจากนี้ตัวเลขอัตราการเข้าพักโรงแรมในยุโรปจะฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากการแจกจ่ายวัคซีนที่รวดเร็วและการกลับมาเปิดประเทศ
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ยังคงไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกในระยะข้างหน้านี้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มสายการบินและโรงแรมที่ผลตอบแทนยังต่ำกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นโลกอยู่มาก แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าในระยะยาวธุรกิจท่องเที่ยวจะกลับมาขยายตัวได้ดีกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตา ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนโลกดิจิทัลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ นั่นก็คือ กลุ่มเทคโนโลยี ที่มีความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยได้รับอานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคตามกระแสการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งหลายๆ ธุรกิจต่างก็ให้ความสำคัญและปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
ทั้งนี้ คาดว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีอัตราการเติบโตที่ยังไปต่อได้ดีอย่างมากในอีกหลายปีข้างหน้า จากปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึงการพัฒนาด้านต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในเกือบทุกธุรกิจ ส่งผลให้ตลาดในกลุ่มนี้มีการเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนในธีม Reopening นั้น บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้มีโอกาสนำเสนอกองทุนประเภทนี้เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักลงทุน เช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Travel and Leisure (SCB Travel and Leisure: SCBTRAVEL) โดยกองทุนจะกระจายการลงทุนในหลากหลายกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและสันทนาการทั่วโลก ประกอบด้วย Booking Platform, Entertainment, Airlines, Cruises และ Hotels and Eesorts หรือที่เรียกว่า BEACH Stock โดยกองทุนจะกระจายน้ำหนักการลงทุนในแต่ละ Sub-theme เท่ากัน เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนจากกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการเปิดเมืองหลังโควิด
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่สำคัญในการขับเคลื่อนโลกดิจิทัล ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Semiconductor (SCB Semiconductor: SCBSEMI) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ VanEck Vectors Semiconductor UCITS ETF (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักจะลงทุนเพื่อมุ่งเน้นให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี MVIS US Listed Semiconductor 10% Capped Index (MVSMCTR) ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นวัสดุที่สำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยทั้ง 2 กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ตามความเหมาะสมสำหรับสภาวการณ์ในแต่ละขณะ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการลงทุน
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล