×

มองกระแสสังคมต่อการกระทำของ ‘วิลล์ สมิธ’ บนเวทีออสการ์ ปกป้องภรรยาหรือแสดงด้านลบความเป็นชายเกินขอบเขต?

29.03.2022
  • LOADING...
Will Smith

กรณีของ วิลล์ สมิธ หนึ่งในนักแสดงชายผู้โด่งดังที่สุดแห่งวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด ที่เดินไปตบหน้า คริส ร็อก ดาวตลกชื่อดัง ระหว่างทำหน้าที่พิธีกรบนเวทีประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 94 ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก กลายเป็น Talk of the Town หรือประเด็นร้อนที่ทุกคนต้องพูดถึงเมื่อวานนี้ (28 มีนาคม)

 

การกระทำของสมิธมีชนวนเหตุจากความไม่พอใจมุกตลกล้อเลียนของร็อก ที่กล่าวพาดพิงถึง เจดา พิงเก็ตต์ สมิธ ภรรยาของเขา ด้วยคำพูดว่า “รอไม่ไหวแล้วที่จะเห็นเจดาในภาพยนต์ G.I. Jane 2” ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการล้อเลียนทรงผมของเจดาที่ต้องโกนศีรษะจากอาการป่วยด้วยโรคผมร่วงเป็นหย่อม หรือโรค Alopecia areata เนื่องจากตัวละครหลักในภาพยนต์ G.I. Jane ที่นำแสดงโดย เดมี มัวร์ นั้นโกนผม 

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดคอมเมนต์หลากหลายในโลกออนไลน์ มีทั้งที่ไม่พอใจ ‘มุกตลกที่ไม่ตลก’ ของร็อก และสนับสนุนการปกป้องภรรยาของสมิธ รวมถึงไม่เห็นด้วยกับการที่สมิธใช้กำลังจัดการเรื่องนี้แบบเกินขอบเขต และทำให้เกิดการถกเถียงและตั้งคำถามมากมายว่า การตัดสินใจใช้กำลังเพื่อจัดการกับผู้ที่ล้อเลียนหรือดูหมิ่นบุคคลที่ตนเองรัก แบบเดียวกับที่สมิธทำนั้น ‘ถูกหรือผิด’  ‘เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม’ และการตัดสินใจที่ถูกต้องคืออะไร? 

 

ซึ่งเชื่อว่าจนถึงตอนนี้ ทั้งสมิธและร็อกต่างได้บทเรียนจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปไม่มากก็น้อย

 

กระแส #ToxicMasculinity

 

สื่อหลายสำนักมีการเผยแพร่บทความที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของสมิธ โดยใช้ถ้อยคำในการพาดหัวข่าวว่า เป็นการแสดงออกถึง ‘ความเป็นชายที่เป็นพิษ’ หรือ ‘Toxic masculinity’ หรือการแสดงค่านิยมความเป็นชายในแง่ลบที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบที่อันตรายต่อบุคคลและสังคม ซึ่งในกรณีของสมิธ คือการใช้ความรุนแรงในการจัดการกับปัญหา

 

ภายหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แฮชแท็ก #ToxicMasculinity กลายเป็นกระแสที่พูดถึงและติดเทรนด์ทวิตเตอร์ โดยมีผู้ติดแฮชแท็กในทวีตข้อความประเด็นนี้กว่า 7,000 ทวีต ภายในช่วงไม่กี่ชั่วโมง

 

อแมนดา ปาร์ริส ผู้ประกาศข่าวและนักเขียนชาวแคนาดา ทวีตในประเด็นนี้ โดยมองว่าการใช้กำลังทำร้ายร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่ผิด แม้ว่าโรคผมร่วงของเจดาจะเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด ที่ผู้หญิงผิวสีหลายคนต้องเผชิญและไม่ควรนำมาพูดล้อเล่น แต่แนวคิดของการเป็น ‘ผู้พิทักษ์’ แบบที่สมิธทำนั้น สามารถกลายเป็นรูปแบบของความเป็นชายที่เป็นพิษได้ ซึ่งเธอยังมองว่า ผู้หญิงผิวสีนั้นมักไม่ค่อยได้รับการปกป้อง และสมควรที่จะได้รับการปกป้อง”

 

ลิซา เฮนดริกส์ นักเคลื่อนไหวและผู้สนับสนุนการป้องกันความรุนแรงจากอาวุธปืน ทวีตข้อความเกี่ยวกับกรณีนี้ โดยยกข้อความที่สมิธกล่าวขอโทษต่อการกระทำของเขาทั้งน้ำตา ภายหลังขึ้นเวทีรับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมว่า “ความรักจะทำให้คุณทำในสิ่งบ้าๆ” ซึ่งเฮนดริกส์กล่าวว่า “ไม่ใช่เลย” และมองว่าการแสดงความองอาจปกป้องคนรักแบบ ‘ทาร์ซานปกป้องเจน’ นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ค่านิยมความเป็นชายที่เป็นพิษคงอยู่ต่อไป

 

หลากหลายมุมมองต่อการกระทำของสมิธ

 

บรรดาเซเลบหรือบุคคลมีชื่อเสียงที่เห็นข่าวนี้หรืออยู่ในงานประกาศรางวัลออสการ์ต่างแสดงความตกตะลึง และมีการแสดงความเห็นที่หลากหลาย ต่อทั้งการกระทำของสมิธและมุกตลกร้ายของร็อก

 

เดนเซล วอชิงตัน นักแสดงดังเจ้าของ 2 รางวัลออสการ์ ซึ่งเป็นคนแรกๆ ที่ดึงสมิธออกมา และเข้าไปปลอบเจดา ได้เตือนสติสมิธว่า “ในจุดที่สูงที่สุดของคุณ จงระวังไว้ นั่นคือตอนที่ปีศาจร้ายจะมาเยือนคุณ” 

 

นิกกี้ มินาจ นักร้องดังชาวอเมริกัน ทวีตข้อความหลายครั้ง โดยแสดงความสนับสนุนสมิธ และบอกว่าเธอนั้นรักร็อกเช่นกัน แต่คิดว่ามุกตลกของเขานั้นล้ำเส้น

 

เลียม เพย์น นักร้องชื่อดังชาวอังกฤษ ซึ่งบอกว่าเคยเป็นเพื่อนบ้านของสมิธ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในรายการ Good Morning Britain ว่า “อะไรก็ตามที่สมิธทำ เขามีสิทธิ์ที่จะทำ”

 

ขณะที่ จาเดน สมิธ ลูกชายของวิลล์และเจดา ทวีตข้อความหลังเกิดเหตุ โดยบอกว่า “นั่นคือวิธีที่เราทำ” และโพสต์ว่า “สุนทรพจน์ของพ่อนั้นทำให้เขาร้องไห้”

 

โซเฟีย บุช นักแสดง นักเคลื่อนไหว และผู้กำกับชาวอเมริกัน กล่าวต่อทั้งสองคู่กรณีของเรื่องนี้ว่า “ความรุนแรงนั้นไม่โอเค การทำร้ายร่างกายไม่เคยเป็นคำตอบ” และบอกว่า “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่คริสล้อเลียนเจดาในเวทีออสการ์ และคืนนี้เขาล้อเลียนโรคผมร่วงของเธอ การวิจารณ์โรคภูมิต้านทานผิดปกติของผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ผิด การทำเช่นนั้นโดยเจตนานั้นเป็นเรื่องโหดร้าย พวกเขาทั้งคู่ต้องหยุด” 

 

จัดด์ อพาโทว์ ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และนักเขียนบทชาวอเมริกัน ทวีตข้อความที่กลายเป็นไวรัลเกี่ยวกับความโกรธเกรี้ยวแบบไร้การควบคุมของสมิธว่า อาจถึงขนาดทำให้เขาฆ่าร็อกได้ 

 

“เขา (สมิธ) อาจจะฆ่าเขา (ร็อก) ได้ นั่นเป็นความโกรธและความรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขาเคยได้ยินเรื่องตลกมาเป็นล้านเรื่องในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาไม่ใช่น้องใหม่ในโลกแห่งฮอลลีวูดและการแสดงตลก เขาเสียสติไปแล้ว” อพาโทว์กล่าว และมองว่าการที่ร็อกล้อเลียนเจดา โดยเปรียบกับ G.I. Jane ที่แสดงโดย เดมี มัวร์ ว่าเป็นสิ่งที่งดงามมากกว่าการดูหมิ่น

 

ขณะที่ เคธี กริฟฟิน นักแสดงตลกเจ้าของรางวัลเอ็มมี่และแกรมมี่ มองว่าการกระทำของสมิธ ที่ขึ้นไปทำร้ายนักแสดงตลกบนเวที นั้นก่อให้เกิดความกังวลว่า ใครจะทำแบบสมิธอีกในอนาคต

 

บทเรียนสำคัญสำหรับ ‘สมิธ’ และ ‘ร็อก’

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนประกาศรางวัลออสการ์ครั้งนี้ แทบจะทำให้อุบัติเหตุบนเวทีออสการ์อื่นๆ เช่น กรณีประกาศรางวัลผิดในปี 2017 กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยทีเดียว แต่สิ่งสำคัญที่ได้จากเหตุการณ์นี้ คือ ‘บทเรียนสำคัญ’ ที่ทั้งสมิธและร็อกต่างต้องจดจำไปตลอดชีวิต 

 

สำหรับร็อก การเล่นมุกตลกที่ออกมาดูแย่จนหลายคนมองว่าโหดร้าย ที่ล้อเลียนอาการป่วยของเจดาในรายการสดที่ออกอากาศไปทั่วโลก จนถึงขนาดที่อาจทำให้เกิดความบอบช้ำทางจิตใจ ซึ่งที่ผ่านมาเจดาเคยออกมาพูดเรื่องการที่ต้องสูญเสียผมที่เธอรักและทะนุถนอมจากโรคผมร่วงนี้ ซึ่งเป็นโรคที่พบได้มากในผู้หญิงผิวสี ว่าเป็นสิ่งน่ากลัวที่เธอต้องพยายามรับมือ 

 

การเล่นมุกล้อเลียนซึ่งเป็นการซ้ำเติมเจดานั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และร็อกเองเป็นหนึ่งในคนที่ควรจะรู้ถึงความสำคัญสำหรับผมของผู้หญิงผิวสีมากที่สุด เนื่องจากเขาเป็นผู้สร้างสารคดีเรื่อง ‘Good Hair’ ที่เจาะลึกเรื่องราวในอุตสาหกรรมการจัดแต่งทรงผมสำหรับผู้หญิงอเมริกันผิวสี และผลกระทบต่อผมของผู้หญิงผิวสี

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้มุกตลกของร็อกจะแย่แค่ไหน แต่การที่สมิธเลือกใช้ทางแก้ด้วยการทำร้ายร่างกายนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเขาสามารถเลือกหนทางอื่นๆ เช่น การโต้กลับด้วยคำพูด หรือขึ้นเวทีบอกว่าการกระทำของร็อกนั้นไม่เหมาะสม และประณามการหยิบเอาอาการป่วยของผู้อื่นมาล้อเล่น หรือแม้แต่นิ่งเฉยไม่ต้องสนใจ 

 

ซึ่งทันทีที่สมิธตัดสินใจเหวี่ยงมือไปตบหน้าร็อก เพราะการล้อเลียนหรือดูหมิ่นภรรยาของเขา ก็ทำให้สมิธตกเป็นฝ่ายผิดในการใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น แม้จะมีเหตุผลในการปกป้องภรรยาก็ตาม

 

แต่ถึงกระนั้น การกระทำของสมิธทำให้เห็นถึงการแสดงออกในการปกป้องผู้หญิงผิวสี โดยเฉพาะในเรื่องผม ซึ่งเหตุการณ์นี้กลายเป็นโอกาสให้ผู้คนทั่วโลกได้ตระหนัก และเห็นความสำคัญต่อโรคผมร่วงเป็นหย่อมที่เจดาเผชิญอยู่

 

คำขอโทษของสมิธ สายเกินไปไหม?

 

หลังจากเหตุการณ์ผ่านมาเกือบ 24 ชั่วโมง สมิธได้โพสต์แถลงการณ์ผ่านอินสตาแกรม แสดงความขอโทษอย่างเป็นทางการต่อการกระทำของเขา โดยยอมรับว่า เขาเป็นฝ่ายผิดและรู้สึกละอาย และยอมรับว่าการใช้กำลังนั้นไม่เคยเป็นทางออกของปัญหา ซึ่งเขาควรรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ดีกว่านี้ แต่ยืนยันว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเขา ที่ต้องได้ยินมุกตลกล้อเลียนอาการป่วยของภรรยา ซึ่งเขาแสดงปฏิกิริยาออกมาตามอารมณ์

 

“ความรุนแรงในทุกรูปแบบเป็นพิษและเป็นอันตราย พฤติกรรมของผมในงานเมื่อคืนนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และให้อภัยไม่ได้ การเล่นตลกกับผมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของงาน แต่การเล่นตลกเกี่ยวกับอาการป่วยของเจดานั้นมากเกินกว่าที่ผมจะรับได้ และผมก็แสดงปฏิกิริยาไปตามอารมณ์”

 

อย่างไรก็ตาม คำขอโทษของสมิธที่ดูเหมือนจะค่อนข้างช้า ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์มากมายในโซเชียลมีเดีย แฟนคลับและผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าเขาแสดงความขอโทษด้วยความจริงใจ 

 

แต่ในอีกมุม ก็มีผู้ที่ไม่เชื่อและมองว่าเป็นการออกมาขอโทษของทีมประชาสัมพันธ์ของสมิธ หรือเป็นการขอโทษเพียงเพราะถูกกดดันให้ปกป้องตัวเองจากผลกระทบและความเสียหายที่จะตามมา เช่น การถูกแบนหรือถอดรางวัลออสการ์ หรือผลกระทบด้านรายได้ของภาพยนต์ที่เขาเล่น ตลอดจนข้อครหาในแง่ลบที่อาจกลายเป็น ‘ความด่างพร้อย’ ในอาชีพของเขา

 

นอกจากนี้ ยังมีเสียงวิจารณ์จากการที่สมิธไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ในการกระทำครั้งนี้ แม้จะยอมออกมาขอโทษ เนื่องจากร็อกเองก็ตัดสินใจไม่แจ้งความดำเนินคดีต่อตำรวจ ขณะที่สมิธยังคงได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และยังไม่ถูกถอดรางวัล แม้ว่าผู้จัดงานประกาศรางวัลออสการ์จะแสดงท่าทีไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงทุกชนิด

 

ซึ่งชาวเน็ตรายหนึ่งมองว่าสมิธนั้นขอโทษได้ดี แต่ตั้งคำถามว่าหากคนที่ก่อเหตุเดินขึ้นไปตบหน้าพิธีกรบนเวทีออสการ์ไม่ใช่บุคคลมีชื่อเสียงเช่นสมิธ การออกมาขอโทษเพียงอย่างเดียวนั้นคงไม่เพียงพอที่จะทำให้คดีทำร้ายร่างกายนี้ยุติลง

 

ภาพ: Myung Chun / Los Angeles Times via Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising