วันนี้ (27 เมษายน) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทำให้ผลการดำเนินงานของไทยได้รับการยอมรับยกย่องจากทั่วโลก รวมทั้งองค์การอนามัยโลก และได้ขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ถือว่าเป็นผลจากความพยายามทุ่มเทจากทุกภาคส่วน รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลที่ได้ร่วมดำเนินการอย่างจริงจัง
ที่ประชุมฯ ได้นำเสนอผลการดำเนินการของแต่ละด้านที่สำคัญ ดังนี้
กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ทั่วโลก สถิติในวันที่ 27 เมษายน 2563 มีผู้ป่วยเกือบ 3 ล้านคน ไทยอยู่อันดับที่ 58 ของโลก สถานการณ์ในประเทศอื่นๆ เช่น ที่สหรัฐอเมริกายังมีแนวโน้มชะลอตัว สิงคโปร์ผู้ป่วยรายใหม่เริ่มลดลง ส่วนไทยมีผู้ป่วยลดลงจนเหลือจำนวนผู้ป่วยใหม่รายวันเป็นเลขตัวเดียวในวันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่ตั้ง ศบค. มา รวมทั้งพัฒนาการการตรวจหาการติดเชื้อ จำนวนคนที่ได้รับการตรวจ ซึ่งปัจจุบันใช้ระบบ Active Case Finding เพื่อให้พบผู้ป่วยเร็วขึ้นและตรวจได้มากขึ้น ซึ่งจังหวัดที่ตรวจมากที่สุดคือกรุงเทพฯ แต่ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขจัดให้กระจายการตรวจให้ครอบคลุม โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง เช่น ชายแดนใต้
ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกเตือนว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วอาจติดเชื้อได้อีก อย่างไรก็ดี จากการคาดการณ์และประเมินถือว่าไทยควบคุมสถานการณ์ได้ดี ควบคุมการระบาดได้ หากยังใช้มาตรการเข้มข้นต่อไป แต่สามารถอนุญาตให้เปิดภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำดำเนินกิจการได้ โดยต้องมีแนวปฏิบัติและการควบคุมที่ชัดเจน
การประเมินผลสัมฤทธิ์ในการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รายงานสรุปสถานการณ์การปฏิบัติตามข้อสั่งการของผู้อำนวยการ ศบค. แต่เพื่อให้สถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเห็นว่าอาจพิจารณาขยายการต่อ พ.ร.ก. ออกไปอีก 1 เดือน และพิจารณาคงมาตรการที่สำคัญและจำเป็น ได้แก่
- ควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ขยายการห้ามอากาศยานบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราวออกไปอีก 1 เดือน (ระหว่างวันที่ 1-31 พฤษภาคม 2563)
- งดหรือชะลอการเดินทางข้ามเขตพื้นที่จังหวัดโดยไม่มีเหตุจำเป็น
- ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) ระหว่างเวลา 22.00-04.00 น.
- งดการดำเนินกิจกรรมที่มีผู้คนเข้าร่วมจำนวนมาก ห้ามประชาชนเข้าไปในพื้นที่หรือสถานที่ซึ่งมีคนจำนวนมาก งดการทำกิจกรรมร่วมกัน หรือประกอบกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นการชั่วคราว
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติได้เสนอแนวทางการผ่อนปรนภายหลังการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ศบค. มีอำนาจในการกำหนดการผ่อนปรนการบังคับใช้กฎหมายในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อให้เกิดมาตรฐานของประเทศและมีความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ตลอดจนมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ และผู้ว่าราชการทุกจังหวัดกำหนดรายละเอียดการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ตามสภาพปัญหา ความพร้อมของเจ้าหน้าที่ และการได้รับความร่วมมือจากประชาชน โดยคำนึงถึงหลักการพิจารณาที่สำคัญ ดังนี้
- คำนึงถึงปัจจัยด้านการสาธารณสุขเป็นหลัก
- ให้พิจารณาวิธีดำเนินการจากประเภทของกิจกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และมีการบังคับใช้มาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกำหนด เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม และทุกคนต้องสวมหน้ากาก, การวัดอุณหภูมิ, การมีจุดบริการแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อหรือเจลล้างมือ, การจำกัดคนให้เหมาะสมต่อกิจกรรมและสถานที่, จัดเจ้าหน้าที่ และ/หรือใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อพิจารณาแนวทางเกี่ยวกับการผ่อนปรนข้อกำหนดและมาตรการสำหรับกลุ่มต่างๆ และจัดทำคู่มือสำหรับผู้ประกอบการและประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจัดทำแอปพลิเคชันในการอำนวยความสะดวกสำหรับประชาชน เพื่อให้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสถานประกอบการว่าควรไปใช้บริการหรือไม่
ทั้งนี้ในส่วนของคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชน โดย กลินท์ สารสิน ได้รายงานองค์ประกอบคณะทำงานจากภาคส่วนต่างๆ ว่าได้มีการหารือและกำหนดแนวทางหลักเกณฑ์ของความพร้อมการเปิดสถานที่ โดยกำหนดตามปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความหนาแน่น การระบายอากาศ การกำหนดกลุ่มสถานที่ประกอบการ โดยได้เสนอจัดเป็นกลุ่มความเสี่ยงตามสีคือ ขาว เหลือง เขียว แดง จะจัดให้เปิดตามความพร้อมและปัจจัยองค์ประกอบ รวมถึงต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ ซึ่งทั้งหมดจะมีการหารือเพื่อจัดทำข้อสรุปอีกครั้งในบ่ายวันนี้
นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมพิจารณาหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติ และให้นำเรื่องต่อ พ.ร.ก. ฉุกเฉินไปอีก 1 เดือนเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อ ซึ่งยังคงจำเป็นต่อการจำกัดการแพร่ระบาดโรค ส่วนการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งที่ประชุมได้เสนอความเห็นและอภิปรายอย่างกว้างขวางถึงผลดีและผลกระทบในการพิจารณาต่อมาตรการดังกล่าว โดยได้นำเหตุการณ์และผลจากการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นจริงมาร่วมพิจารณา เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยศึกษาตามสถานการณ์ของไทยและต่างประเทศ รวมทั้งมิติทางเศรษฐกิจและผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยต้องพิจารณาเรื่องการควบคุมโรคและควบคุมการระบาดด้วย สำหรับกิจกรรมที่มีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วม ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ากิจกรรมใดยังสามารถยังจัดได้ โดยขอให้แต่ละภาคส่วนกำหนดมาตรการให้ชัดเจน
นายกรัฐมนตรีได้ให้หลักการว่าอยากให้ทุกจังหวัดเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากที่สุดที่สามารถปฏิบัติได้เพื่อให้ประชาชนได้มีรายได้ แต่หากส่วนไหนที่ยังไม่พร้อมอาจจะพิจารณาเป็นกรณี
สำหรับมาตรการ Work from Home ให้กำหนดเป็นมาตรการที่ยังดำเนินต่อไป ในด้านการศึกษายังคงต้องให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 คือให้สถานศึกษาเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 จากวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 แต่ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมรองรับ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการเรียนการสอนของเยาวชน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดำเนินการที่สนามบินและสถานกักกัน โดยได้ให้กำลังใจทุกคนให้ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ คนไทยทุกคนดีใจที่ได้กลับบ้าน และมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานดูแลอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับในทุกกระบวนการทำงานให้เข้มงวด รวดเร็ว และเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตลอดจนให้การดูแลคนไทยที่ผ่านเข้ามาตามช่องทางต่างๆ เช่น ช่องทางธรรมชาติ ต้องมีมาตรการแก้ปัญหาและรองรับคนกลุ่มนี้
แม้ว่าสถานการณ์ภาพรวมในประเทศจะดีขึ้น ซึ่งเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของคนทั้งประเทศ แต่ยังวางใจไม่ได้ สถานการณ์ทั่วโลกยังเป็นที่น่ากังวล ขอให้คงมาตรการการประชาสัมพันธ์ทุกขั้นตอนการทำงานของรัฐบาลให้ประชาชนมั่นใจและไว้ใจ ทั้งนี้ผู้ที่หายป่วยออกจากโรงพยาบาลไปพักผ่อนที่บ้านแล้วยังคงดำเนินการตามมาตรการอย่างต่อเนื่องด้วยความระมัดระวัง ตลอดจนการแจกของให้ผู้ขาดแคลนเป็นเรื่องที่คนมีน้ำใจอยากช่วยเหลือกัน แต่ต้องไปดูการจัดระเบียบตามมาตรการเพื่อป้องกันการระบาดของโรค
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์