×

ฟันธง! หุ้นโรงไฟฟ้าผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ลุ้นกำไรปี 66 แตะ 5.3 หมื่นล้านบาท ระยะยาวมี Upside จากการเปิดประมูลพลังงานหมุนเวียนกว่า 8,000 เมกะวัตต์

17.04.2023
  • LOADING...
หุ้น โรงไฟฟ้า

HIGHLIGHTS

5 MIN READ
  • จับตาภายในวันที่ 19 เมษายนนี้ เอกชนที่ชนะการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดกำลังผลิต 4,852.26 เมกะวัตต์ ตบเท้าเซ็นสัญญาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ กำหนด COD ภายในปี 2573
  • ผู้ชนะประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้สัญญาขายไฟฟ้าสูงสุดของ กกพ. อันดับ 1 คือ GULF ตามด้วย GUNKUL และ BGRIM ตามลำดับ 
  • นักวิเคราะห์ประเมินกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว พร้อมคาดปี 2566 กำไรจะเพิ่มขึ้น 40% เป็น 5.3 หมื่นล้านบาท ได้แรงหนุนต้นทุนก๊าซลดลง-อุปสงค์ฟื้นตัวแข็งแกร่งหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
  • นอกจากนี้ หุ้นโรงไฟฟ้ามีลุ้น Upside เพิ่ม หลังกระทรวงพลังงานจ่อประมูลพลังงานทดแทนรอบใหม่อีก 3,660 เมกะวัตต์ รอรัฐบาลชุดใหม่จากการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการ
  • หุ้น Top Pick ที่นักวิเคราะห์พร้อมใจกันแนะนำคือ GULF เนื่องจากเป็นผู้ชนะการประมูลได้เมกะวัตต์สูงสุด 2,500 เมกะวัตต์ หนุนกำไรเพิ่มอีก 300-400 ล้านบาทต่อปี มองกำไรปี 2566-2567 เด่นโตเฉลี่ย 37% ต่อปี
  • ด้านผู้บริหาร GUNKUL คาดหวังว่าอานิสงส์จากการชนะประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจะหนุนกำไร-รายได้โรงไฟฟ้าโตกว่า 100% อีกทั้งยังเตรียมพร้อมลุยประมูลเพิ่มอีก

ธุรกิจกลุ่มพลังงานโรงไฟฟ้ากลับมาคึกคักและมีความหวังในการสร้างการเติบโตของกำไรและรายได้อีกครั้ง หลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกประกาศว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ครั้งที่ 17/2566 (ครั้งที่ 845) วันที่ 5 เมษายน 2566 ได้พิจารณาเห็นชอบรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการคัดเลือกตามระเบียบ กกพ. สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผู้ผ่านการพิจารณาคัดเลือก 175 ราย ปริมาณเสนอขายรวม 4,852.26 เมกะวัตต์ (MW) จากรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ผ่านเกณฑ์คะแนนความพร้อมทางด้านเทคนิคขั้นต่ำ ตามเกณฑ์ผ่านหรือไม่ผ่าน (Pass/Fail Basis) รวมทั้งสิ้น 386 ราย 

 

สำหรับเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรม ที่ผ่านมาสำนักงาน กกพ. ได้ประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ผ่านเกณฑ์คะแนนความพร้อมทางด้านเทคนิคขั้นต่ำ ตามเกณฑ์ผ่านหรือไม่ผ่าน (Pass/Fail Basis) ตามระเบียบ กกพ. ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับขยะอุตสาหกรรม พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผู้ผ่านการพิจารณา 18 ราย โดย กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 17/2566 วันที่ 5 เมษายน 2566 ได้พิจารณาเห็นชอบรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการคัดเลือกตามระเบียบ กกพ. สำหรับขยะอุตสาหกรรม พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผู้ผ่านการพิจารณาคัดเลือก 13 ราย ปริมาณเสนอขายรวม 100 เมกะวัตต์

 

โบรกเกอร์มองเป็นปัจจัยหนุนกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้า

 

เบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า หลังจากที่ กกพ. ประกาศผลการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยมีผู้ผ่านการคัดเลือก 4,852 เมกะวัตต์ 

 

ทั้งนี้จะมีหนังสือแจ้งให้ผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการคัดเลือกทราบและยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในวันที่ 19 เมษายน 2566 โดยโครงการที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมดจะต้องเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี 2573

 

โดยจากข้อมูลการรายงานข่าวผ่านสื่อพบว่า GULF ได้โครงการมากที่สุด บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ผ่านการประมูล ประกอบด้วย

 

  1. บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF จำนวน 2,500 เมกะวัตต์
  2. บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง หรือ GUNKUL จำนวน 832 เมกะวัตต์
  3. บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ หรือ BGRIM จำนวน 339 เมกะวัตต์
  4. บมจ.เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น หรือ SSP จำนวน 170 เมกะวัตต์
  5. บมจ.เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ หรือ ETC จำนวน 80 เมกะวัตต์ โดยทั้งหมดเป็นโรงไฟฟ้าขยะ
  6. บมจ.ราช กรุ๊ป หรือ RATCH จำนวน 27 เมกะวัตต์
  7. บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ GPSC จำนวน 16 เมกะวัตต์
  8. บมจ.บีซีพีจี หรือ BCPG จำนวน 12 เมกะวัตต์

 

ส่วนบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ คือ บมจ.ผลิตไฟฟ้า หรือ EGCO ไม่มีโครงการที่ชนะการประมูลในรอบนี้ 

 

อย่างไรก็ตาม จากผลการประมูลครั้งประเมินผลกระทบกำไรยังมีอย่างจำกัด โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ เช่น GULF, BGRIM, GPSC, RATCH, BCPG ภายในสมมติฐานกำไรของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 1.2 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลมอีกประมาณ 3 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ 

 

นอกจากนี้ ประเมินว่าโอกาสของกำไรเติบโตก้าวกระโดดมากที่สุดคือ ETC จากฐานกำไรที่ต่ำ และ GUNKUL จากโครงการรับเหมาก่อสร้างที่คาดว่าจะเข้ามาอย่างมากในอีก 7 ปี เตรียมการประมูลรอบใหม่เป็นแรงหนุนต่อเนื่อง หลังจากการประมูลรอบแรกผ่านไป คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เตรียมจัดประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดในประเทศไทย 

 

ประกอบด้วยโซลาร์ฟาร์มแบบติดตั้งบนพื้นดินและระบบการเก็บพลังงาน 2,632 เมกะวัตต์, พลังงานลม 1,000 เมกะวัตต์, ก๊าซชีวภาพ 335 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานขยะอุตสาหกรรม 30 เมกะวัตต์ การประมูลคาดว่าจะมีขึ้นในรัฐบาลชุดต่อไป โดยจะเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญสำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการด้านพลังงานทดแทน

 

กลุ่มโรงไฟฟ้ากำไรปี 2566 โตแรง 40%

 

นอกจากนี้ ประเมินว่ากำไรของกลุ่มโรงไฟฟ้าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 4/65 ด้วยต้นทุนก๊าซที่ทยอยลดลง อีกทั้งยังมีดีมานด์การใช้ไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง และไม่มีแผนการปิดซ่อมโรงไฟฟ้า  ดังนั้นประเมินว่าจะเห็นการฟื้นตัวของกำไรของกลุ่มโรงไฟฟ้าตั้งแต่ไตรมาส 1/66 เป็นต้นไป 

 

และคาดว่ากำไรของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 40% เป็นประมาณ 5.3 หมื่นล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากฐานกำไรปี 2565 ที่ต่ำ รวมทั้งต้นทุนก๊าซที่ลดลง และอุปสงค์ที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย

 

ดังนั้นยังคงมีมุมมองบวกต่อกลุ่ม และยังคงให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มโรงไฟฟ้าของไทยเป็นมากกว่าตลาด (Overweight) โดยปัจจัยบวกดังนี้

 

  1. ดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จะถึงจุดสูงสุดในไม่ช้า
  2. ต้นทุนพลังงานลดลงในปี 2566 
  3. กำไรของกลุ่มได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
  4. กระทรวงพลังงานจะมีการเปิดประมูลพลังงานทดแทนรอบใหม่อีก 3,660 เมกะวัตต์ โดยรอรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการ

 

โบรกเกอร์พร้อมใจยก GULF เป็น Top Pick

 

เบญจพลกล่าวว่า แนะนำ GULF เป็น Top Pick ของกลุ่ม เพราะเป็นบริษัทที่ชนะการประมูลจำนวนเมกะวัตต์มาสูงสุด ซึ่งหลังจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ชนะการประมูลมาจำนวน 2,500 เมกะวัตต์ เริ่ม COD จะช่วยให้ระหว่างปี 2567-2573 มีกำไรสุทธิเพิ่มเข้ามาอีกประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี หรือมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอีกราว 1% ต่อปี 

 

กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ชนะการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของ กกพ. ถือว่าเป็นปัจจัยบวกที่มี Upside ต่อกำไรของกลุ่ม โดย GULF เป็นบริษัทที่ชนะการประมูลได้จำนวนเมกะวัตต์ที่สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือ GUNKUL ที่ได้จำนวนเมกะวัตต์ที่สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 

 

อย่างไรก็ดี โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดขนาดกำลังผลิตรวมประมาณ 5,200 เมกะวัตต์ ยังต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างจึงจะเริ่มทยอย COD อย่างมีนัยสำคัญในระหว่างปี 2569-2573 ซึ่งเป็น Upside ต่อกำไรในระยะยาว

 

ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิของกลุ่มโรงไฟฟ้าในปี 2566-2567 มองว่า GULF มีความน่าสนใจ โดยแนะนำ GULF เป็น Top Pick ของกลุ่ม โดยให้ราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 55 บาท อีกทั้งมีโอกาสปรับขึ้นอีกจากปัจจัยบวกที่มีการชนะการประมูลได้เมกะวัตต์สูงสุดของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ขณะที่ฐานกำไรในปี 2566-2567 จะเติบโตเฉลี่ย 37% ต่อปีจากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ที่ทยอย COD รวมถึงค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้นจะเป็นบวกกับกลุ่มโรงไฟฟ้า 

 

รวมถึง GPSC ที่มองว่าน่าสนใจในการลงทุน โดยให้ราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 84 บาท แม้ในการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบนี้จะได้ชนะได้จำนวนเมกะวัตต์มาไม่มาก เนื่องจากประเมินว่าใน 2 ปีระหว่าง 2566-2567 กำไรสุทธิจะเติบโตสูงเฉลี่ยรวมประมาณ 600% เพราะเปรียบเทียบกับฐานที่ต่ำและมีผลการขาดทุนในปี 2565 อีกทั้งในปี 2566-2567 จะมีโครงการโรงไฟฟ้าจำนวนมากทยอย COD ในทุกไตรมาส 

 

GUNKUL คาดกำไร-รายได้ธุรกิจไฟฟ้าโตกว่า 100% 

 

โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร GUNKUL ให้สัมภาษณ์ THE STANDARD WEALTH ว่า บริษัทชนะการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของ กกพ. ได้สัญญาขายไฟฟ้าขนาดรวม 832 เมกะวัตต์ ถือเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เพราะปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตโรงไฟฟ้ารวมประมาณ 700 เมกะวัตต์ 

 

ดังนั้นประเมินว่าจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งต่อกำไรและรายได้ของธุรกิจโรงไฟฟ้าของบริษัทมีโอกาสเติบโตขึ้นมากกว่า 100% ในช่วง 5 ปี มาจากการที่โครงการไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาด 832 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนรวมประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยสำหรับแหล่งเงินลงทุนบริษัทเตรียมความพร้อมไว้แล้ว โดยจะเงินลงทุนในรูปแบบสินเชื่อโครงการ (Project Finance) โดยคาดว่าโครงการไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาด 832 เมกะวัตต์ จะเริ่มทยอย COD ในปี 2569 และจะทยอย COD ครบทั้งหมดในปี 2573 

 

นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมความพร้อมในการยื่นเข้าประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ที่กระทรวงพลังงานจะเปิดให้เอกชนยื่นประมูลเพิ่มเติมอีกประมาณ 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งมีความคาดหวังว่าจะสัญญาขายไฟฟ้าเพิ่มเติม จากในรอบล่าสุดที่เปิดประมูลไปแล้ว 4,852.26 เมกะวัตต์ โดยการประมูลทั้ง 2 รอบมีขนาดการรับซื้อไฟฟ้ารวมกันประมาณ 8,452 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าการเปิดประมูลรอบใหม่จะเกิดขึ้นได้ภายหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งแล้วเสร็จ

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising