×

BNK48 กับ จ๊อบซัง ผู้จัดการวงที่แฟนคลับก็อยากขอจับมือ

03.08.2018
  • LOADING...

ทำความรู้จักกับ จ๊อบซัง-ณัฐพล บวรวัฒนะ ที่เหล่าแฟนคลับ BNK48 รู้จักเขากันดีในตำแหน่ง ‘ชิไฮนิน’ หรือ ผู้จัดการวง นี่คือคนใกล้ชิดและเป็นอีกหนึ่งเบื้องหลังสำคัญให้ BNK48 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในเมืองไทย

 

หน้าที่ชิไฮนินต้องทำอะไรบ้าง การทำงานกับพี่ชายที่เป็น CEO BNK48 ราบรื่นไหม การเป็นคนกลางระหว่างเมมเบอร์ ทีมงาน และแฟนคลับต้องบริหารจัดการความสัมพันธ์อย่างไร ต้องใช้จิตวิทยาในการสื่อสารแค่ไหน  

 

นี่คือศาสตร์ที่ต่อให้คุณไม่ใช่แฟน BNK48 ก็ควรเรียนรู้ เป็นเคสของ Relationship Management และ Customer Relationship Management อย่างแท้จริง เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ต้องทำงานกับลูกค้าโดยตรง และต้องรับฟีดแบ็กอยู่เสมอๆ   

  

 

มาเป็นชิไฮนิน หรือผู้จัดการวงได้อย่างไร

ตอนพี่ชาย (ต้อม-จิรัฐ บวรวัฒนะ ซีอีโอ BNK48) ชวนมา ผมก็ยังไม่รู้หรอกว่าต้องมาทำหน้าที่อะไร รู้แค่ว่าต้องทำงานให้ดีที่สุดและทำยังไงก็ได้ให้ธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จ แต่พอทางญี่ปุ่นบอกมาว่าเราต้องมีชิไฮนิน (支配人) คนที่เป็นผู้จัดการวงคอยประสานงานกับแฟนคลับ พวกเราก็ปรึกษากันอยู่นานว่าจะเป็นใครดี จนสุดท้ายพี่ต้อมหันมาบอกว่า “จ๊อบทำแหละ คาแรกเตอร์ของจ๊อบน่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว” ตอนนั้นผมก็ยังงงอยู่เลยว่าคำจำกัดความของตำแหน่งนี้ที่แท้จริงคืออะไร


แต่ผมมีปรัชญาในการทำงานอยู่ว่า ถ้าเมื่อไรที่เราได้รับโอกาสอะไรมาแล้ว เราควรลงมือทำมันให้ดีที่สุด มันจะทำให้ได้เรียนรู้และเติบโต เหมือนตอนที่ผมทำงานที่การบินไทยครั้งแรก ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งหัวหน้าเสียชีวิตไป ผมเลยต้องลุกขึ้นมาจัดการงานตรงหน้าเองทั้งหมด มันทำให้ผมเรียนรู้ว่าเมื่อไรที่มีปัญหาแล้วเราแก้ไขสำเร็จ นั่นแปลว่าเราโตขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นพอได้รับโอกาสเป็นชิไฮนิน ผมเลยไม่กลัวอะไร และพยายามสนุกไปกับมันให้มากที่สุด

ทำงานกับพี่น้องทะเลาะกันตลอด (หัวเราะ) แต่ไม่ว่าจะทะเลาะกันยังไง ผมรู้ว่าเขาไม่ได้คิดร้ายกับผม จุดมุ่งหมายของพวกเราคือทำยังไงก็ได้ให้ธุรกิจมันดีและประสบความสำเร็จ เพราะสุดท้ายเราก็ทำเพื่อพ่อแม่และครอบครัวนี่แหละ

ความยากของการเป็นชิไฮนิน

ทางญี่ปุ่นไม่มีตำราบอกขอบเขตของงานว่าเป็นชิไฮนินแล้วต้องทำอะไรบ้าง รู้แค่ว่าต้องเป็นตัวกลางระหว่างแฟนคลับกับฝ่ายจัดการ และสื่อสารให้ดีเท่านั้นเอง ผมมีโอกาสได้บินไปดูงานชิไฮนินที่ญี่ปุ่น เขาก็สอนอะไรหลายอย่างเป็นภาษาบ้านเขา และมีล่ามคอยช่วยแปลอีกที ซึ่งโชคดีที่วันนั้นมีงานจับมือพอดี ผมเลยได้เห็นการทำงาน เห็นการพูดคุยระหว่างเขากับแฟนคลับ มันทำให้ผมเริ่มเรียนรู้และนำหลายสิ่งมาปรับใช้

 

 

กว่าจะมาเป็น BNK48 รุ่นแรก

หลังจากที่เราจัดงาน We Need You BNK48 เพื่อเปิดตัวและประกาศรับสมัครน้องๆ ไปแล้ว เราก็เอาใบสมัครมาคัดเลือก ดูโปรไฟล์และแบ็กกราวด์แต่ละคน จนเหลือออกมาเป็น 300 คนสุดท้าย ถ้าถามว่าทีมงานเลือกเด็กแต่ละคนจากอะไร เราดูตั้งแต่การส่งรูปสมัคร โจทย์คือให้ส่งรูป 3 รูป รูปหน้าชัด รูปเต็มตัว และรูปอะไรก็ได้ เราดูแค่ว่าเขาส่งมาถูกต้องตามโจทย์หรือเปล่า บางคนส่งไม่ครบหรือส่งรูปที่ไม่เกี่ยวกับโจทย์มา เราก็ตัดออก เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจสิ่งที่สื่อสารออกไป นอกนั้นดูเรื่องเกี่ยวกับภาพลักษณ์ คาแรกเตอร์ และเสน่ห์โดยรวม

พอถึงวันสัมภาษณ์ กรรมการวันนั้นมีทั้งทีมงานคนไทยและญี่ปุ่น เราดูทักษะการเต้น การร้องของเขาว่ามีมวลรวมของญี่ปุ่นผสมมากน้อยแค่ไหน รู้จัก AKB48 ไหม ยกตัวอย่างน้องเฌอปราง ถือว่าเป็นคนที่น่าสนใจตั้งแต่แรก เสน่ห์ที่เห็นได้ชัดคือตาเฉี่ยว มีมุมมองทัศนคติที่ดี และเป็นคาแรกเตอร์ของเด็กเคมีแต่ชอบคอสเพลย์ แถมกิริยาท่าทางยังมีความเป็นญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเป็นตัวเต็งแรกๆ อยู่แล้ว หรืออย่างน้องอร ก็สวย มุ่งมั่น ทะมัดทะแมง ติดแค่อย่างเดียวตอนนั้นน้องยังดูมีน้ำมีนวลมากกว่าตอนนี้ แต่เราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ปรับได้ เลยคัดเลือกมาเป็นอีกหนึ่งสมาชิก

จาก 300 คน คัดเลือกเหลือ 80 คน นำเด็กทั้งหมดมาเวิร์กช็อปร่วมกัน ดูพฤติกรรม ความคิด พัฒนาการทุกอย่าง แล้วค่อยมาออดิชันรอบสุดท้ายเหลือ 29 คนพอดี

 


ประชุมผู้ปกครอง

ทางญี่ปุ่นบอกว่าก่อนที่จะเซ็นสัญญาอะไร คุณไปอ่านมาให้ละเอียด ไปทะเลาะกันในบ้านมาให้เสร็จก่อน เพราะการจะมาทำงานตรงนี้ ทั้งตัวน้องๆ และผู้ปกครองต้องเข้าใจสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันมีเรื่องของกฎระเบียบ เงินทอง สัญญา หน้าที่การทำงาน การรักษาภาพลักษณ์ เราเกรงว่าเด็กบางคนเขาอาจจะแอบมาสมัคร เพราะฉะนั้นเคลียร์กันให้เรียบร้อย ให้ผู้ปกครองรับทราบก่อนดีกว่า เราเลยมีวันที่เปิดให้ผู้ปกครองถามทุกอย่างที่สงสัย และให้เขาตัดสินใจกันเอง ซึ่งคนแรกที่เดินเข้ามาเซ็นสัญญาเลยคือเจนนิษฐ์ ที่คุณแม่สนับสนุนตั้งแต่แรกแล้วบอกว่าน้องอยากมาเส้นทางนี้แบบเต็มตัว

เราไม่เคยห้ามสมาชิกมีแฟน แต่เหมือนเป็นสัญญาใจที่วงรุ่นพี่ก็ทำกับแฟนคลับไว้เช่นเดียวกัน

วิธีบริหารสมาชิก BNK48

โชคดีที่ผมคุ้นเคยกับผู้หญิงมาก่อน เพราะผมเรียนศิลป์-ฝรั่งเศส ในห้องมีเด็กผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เลยพอเข้าใจธรรมชาติความเป็นผู้หญิงอยู่บ้าง ฉะนั้นเวลาปฏิบัติกับน้องๆ ผมจะมองพวกเขาเป็นเหมือนน้องสาว ผมให้ใจกับทุกคน 100% ถ้าเมื่อไรที่มีอะไรน่ากังวล ผมจะรีบเตือนทันที ถ้าเมื่อไรมีอะไรกระทบกระเทือน ผมจะคอยปกป้อง หรือถ้ามีสิ่งไหนที่ทำให้พวกเขาได้ ผมก็จะทำให้พวกเขา

หัวใจสำคัญในการบริหาร BNK48 ผมให้ความสำคัญกับการสื่อสารมากที่สุด เรามีทีม AR ที่เป็นผู้หญิง คอยดูแลพูดคุยกับน้องๆ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ความเป็นอยู่ หรือปัญหาที่เขาเจอ เรามีชั่วโมงโฮมรูม หยิบประเด็นปัญหามาพูดคุยกันและหาทางแก้ไข โดยส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องของการสื่อสารให้เข้าใจตรงกันว่าจุดยืนของ BNK48 คืออะไร

 

 

เป็นทุกอย่างเพื่อ BNK48

นอกจากความรักที่มีให้น้องทุกคน ผมอยากให้เรามีความไว้ใจและความเชื่อใจ โดยเฉพาะเรื่องความลับในบางอย่าง พวกนี้เป็นส่วนที่ค่อนข้างซีเรียส จึงอยากให้ทุกคนเข้าใจในจุดมุ่งหมายเดียวกัน ถามว่าผมมีลำเอียงหรือรักไม่เท่ากันไหม ทางญี่ปุ่นบอกว่านอกจากเป็นคนกลางให้แฟนคลับแล้ว ผมต้องเป็นตัวกลางให้น้องๆ ด้วย ห้ามปฏิบัติกับใครเป็นพิเศษ ห้ามตอบว่าชอบหรือรักใครมากกว่าคนอื่น ห้ามเที่ยวกลางคืน ห้ามโพสต์เกี่ยวกับอบายมุข ห้ามเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ดังนั้นการวางตัวของผม ผมต้องยุติธรรมกับทุกเคส ฟังทุกเสียงที่เข้ามา และให้คำแนะนำกลับไปอย่างดีที่สุด

ผมรักน้องทุกคนเท่ากัน ด้วยความเป็นน้องสาว คนไหนที่ดีก็ดีอยู่แล้ว แต่คนไหนที่ยังมีส่วนไม่ดี ผมจะคอยดูแลให้เข้าที่มากกว่า

จิตวิทยาในการสื่อสารกับสมาชิก

เรื่องการชื่นชมน้องๆ ผมชมทุกคนในภาพรวมอยู่แล้ว ส่วนอะไรที่ไม่ใช่ ผมก็ว่าในภาพรวมเช่นกัน แต่ถ้าน้องคนไหนทำไม่ดี ผมจะหาโอกาสเดินเข้าไปคุย แต่ก่อนจะบอกกล่าวตักเตือนอะไรออกไป ผมมักให้เขาลองคิดเองก่อน ตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น ผมเชื่อว่าเด็กจะเติบโตได้ เขาต้องรู้จักคิดหาคำตอบและปรับปรุงสิ่งที่ผิดพลาดด้วยตัวเอง ให้เขาลองหาวิธีเอง แล้วถ้ามันไม่ใช่ ผมค่อยลองเสนอวิธีตามมุมมองของผม แล้วหาจุดที่ลงตัวมากที่สุดสำหรับทุกฝ่าย

 

วิธีจัดการปัญหาทั้งในบ้านและนอกบ้าน

สำหรับปัญหาภายใน น้องๆ ไม่เคยทะเลาะกันให้ผมเห็นแน่นอน อาจมีมุมมองที่ไม่ตรงกันบ้างตามที่ได้ยินมา แต่สำหรับเด็กรุ่น 1 เราฝ่าฟันหลายสิ่งมาด้วยกัน เราเห็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เราต้องเดินหน้าและสู้ต่อไปด้วยกัน จุดมุ่งหมายของพวกเราไม่ใช่แค่ให้คนไทยรู้จัก แต่เรามองไปถึงเวทีสากล ซึ่งกว่าจะถึงตรงนั้น ความสามัคคีเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก

 

ส่วนปัญหาภายนอกผมไม่ค่อยสนใจดราม่าที่มันเกิดจากคนพยายามเข้าไปปั่นเรื่อง แต่ผมจะสนใจดราม่าที่ทำร้ายน้องหรือตีไข่ใส่สีมากเกินไป และเป็นมากกว่าแค่การต่อสู้ด้วยคำพูดกันไปมาทางสื่อโซเชียล แต่กระทบไปถึงเรื่องอื่นๆ ฉะนั้นการจัดการของผมคือการใช้กฎหมายมาคุยกันเลย เอาวิธีการแก้มาวางให้เห็น ซึ่งโชคดีที่เรามีแฟนคลับทุกอาชีพ ทำให้เรามีที่ปรึกษาอยู่เยอะพอสมควร

 

รับฟังทุกปัญหาของแฟนคลับ

ตอนแรกก็ค่อนข้างยาก ผมอยู่ตัวคนเดียวมีกรอบในการใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่ค่อยเปิดตัวให้ใครมารู้จัก ไม่ใช่คนที่ไปปาร์ตี้สังสรรค์บ่อยๆ แต่ผมเริ่มมาเปลี่ยนมุมมองเมื่อได้คุยกับแฟนคลับมากขึ้น ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี การที่เขาพูดอะไรบางอย่างกับเราแปลว่าเขาชื่นชอบ เมื่อเขาชื่นชอบ เราควรรับฟังและหยิบสิ่งที่ปรับปรุงได้มาทำต่อ

สิ่งที่ยากที่สุดคืออารมณ์ บางครั้งเวลาโดนคอมเมนต์หนักๆ จากหลายทาง ผมก็คิดเหมือนกันว่าผมไปทำอะไรกับคุณเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมถึงต้องว่ากันขนาดนี้ ฉะนั้นผมต้องจัดการอารมณ์ก่อน ดูว่าตัวเองพร้อมแค่ไหนที่ต้องไปพูดคุยกับคนอื่นต่อ ไม่อย่างนั้นผมอาจเอาพลังลบไปลงกับคนอื่นได้ มีอยู่เคสหนึ่ง พวกเรามีปัญหาเรื่องการจัดการงานอีเวนต์ พี่ต้อมมาถึงใส่อารมณ์กับผมก่อนเลย ทำไมงานเป็นแบบนี้ ทำไมจ๊อบทำแบบนี้ ผมบอกพี่ต้อมใจเย็น เดี๋ยวผมต้องไปคุยกับแฟนคลับแล้ว หลังจากนั้นผมทำเหมือนอิคคิวซัง เข้าไปนั่งสมาธิสงบอารมณ์อยู่ในห้องคนเดียว หาทีมงานมาช่วยจัดการ บอกวิธีแก้ไขปัญหาเป็นขั้นตอน จนพร้อมถึงเดินออกไปคุยกับแฟนคลับด้วยใจที่พร้อมเปิดรับแล้ว

 

หลายปัญหาที่มีแฟนคลับเข้ามาพูดคุย บางครั้งทางเราผิดจริง บางครั้งเป็นความเข้าใจผิดของพวกเขา แต่ผมก็พยายามบอกตลอดว่าอย่าใช้อารมณ์ในการสื่อสารกับผม เพราะอาจทำให้ผมเผลอใช้อารมณ์กลับก็ได้ ฉะนั้นถ้าพวกเขาคือลูกค้า ผมจะพยายามมองให้เป็นเหมือนเพื่อน เป็นคนที่เราอยากช่วยแก้ไขปัญหา และเดินต่อไปด้วยกัน

 

 

ความประทับใจต่อการเป็นชิไฮนิน

ความประทับใจแรกคือการได้เจอน้องๆ ผมคงเป็นคนหนึ่งที่มีน้องสาวมากที่สุดในประเทศไทย ผมดีใจกับพ่อแม่ทุกคนที่สร้างน้องมาได้ขนาดนี้ พวกเขาเป็นเด็กที่มีทัศนคติที่ดี และจะช่วยต่อยอดสังคมให้ดีขึ้นต่อไปได้เรื่อยๆ

ความประทับใจต่อมาคือแฟนคลับ ผมเคยอิจฉาดาราหลายคนว่าทำไมเขาถึงมีคนที่ชื่นชอบตัวเองได้มากขนาดนั้น เวลาที่อยากระดมอะไรบางอย่างเพื่อสังคมมันดูไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ย้อนกลับมาคิดดู วันนี้ผมเองก็พอทำได้แล้ว อย่างเรื่องการระดมเงินเพื่อช่วยเหลือสังคม ตรงนี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผม เพราะการให้เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีคุณค่าและให้คุณค่ากับคนอื่น

ผมดีใจเวลาได้จับมือกับแฟนคลับ มันเป็นทั้งความรู้สึก อารมณ์ การสื่อสาร ทุกอย่างมันออกมาด้วยสายตา หรือแม้กระทั่งแรงบีบมือ ผมได้พลังจากตรงนี้

เป้าหมายในอนาคต

ผมอยากเห็น BNK48 เป็นที่รู้จักกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นมากกว่านั้นในเชิงภาพรวม ผมอยากให้เราเป็นแบบอย่างที่ดี และมีคนบอกว่าที่เขาได้ดีเพราะมีแรงบันดาลใจมาจากเรา เป็นคุณภาพที่ได้ส่งต่อถึงคนในสังคมให้มันดีขึ้นมากกว่า

 


ความภูมิใจของการได้ทำงานตรงนี้

ผมขอเล่าเรื่องหนึ่งที่ทุกครั้งเวลาจะพูดมันทำให้ผมอยากร้องไห้ มีน้องแฟนคลับคนหนึ่งเป็นมะเร็ง แม่เขาติดต่อมาว่าน้องชอบ BNK48 มาก น้องอยากมาดูคอนเสิร์ตมากเลย ผมก็เชิญเขามาเลย พอได้เจอวันนั้นน้องน่าเห็นใจมาก แต่เราเห็นรอยยิ้มและความสุขของเขา ปรากฏว่าปัจจุบันน้องเสียชีวิตแล้ว จนเมื่อไม่นานมานี้ ผมเพิ่งได้คุยกับคุณแม่ เขาบอกว่า “ขอบคุณมาก วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ลูกได้ออกจากโรงพยาบาล และเป็นวันที่เขามีความสุขมากจริงๆ” มันรู้สึกดีที่เราได้ทำอะไรให้ใครสักคนหนึ่ง โดยที่เราไม่ต้องรวย ไม่ต้องประสบความสำเร็จมาก เราแค่ได้ให้สิ่งเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่กับใครสักคนก็เพียงพอแล้ว

 

 


ฟังพอดแคสต์ The Secret Sauce โดยแอปฯ Podcasts (สำหรับผู้ใช้ iOS), Spotify, Podbean, SoundCloud, YouTube หรือแอปฯ ประเภท Podcast Player ยี่ห้อใดก็ได้ (สำหรับผู้ใช้ Android)


Credits

 

The Host นครินทร์ วนกิจไพบูลย์
The Guest ณัฐพล บวรวัฒนะ


Show Creator นครินทร์ วนกิจไพบูลย์
Episode Producer ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์
Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์
Graphic Design Interns ธัญญา ศิริสัมพันธ์
Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า
Webmaster รพีพรรณ เกตุสมพงษ์
Music Westonemusic

  • LOADING...

READ MORE

MOST POPULAR



Close Advertising