กำกับพอดแคสต์โดย วรรณแวว-แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์
สร้างจากเรื่องจริงของครอบครัวศรีทองดี
หลังจากสูญเสียแม่ แพร นัดดา จึงปรึกษากับ โลเล ผู้เป็นสามีว่าจะมีลูก เพื่อให้ความสัมพันธ์แม่ลูกกลับมาอีกครั้ง ครอบครัว ‘ศรีทองดี’ จึงมี โรมัน และนินจา เด็กชายตัวเล็กที่ร่วมเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ขณะที่ธุรกิจกำลังไปได้ดี แพร นัดดา กลับเกิดคำถามว่าเวลาที่หายไปกับการงานสามารถทำให้ชีวิตสมดุลด้วยการรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันได้ไหม ความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นกับครอบครัวนี้อีกครั้ง
บันทึกของแม่กับพ่อโรมัน
แพร-นัดดา ศรีทองดี เป็นแม่โรมันกับนินจา โลเล-ทวีศักดิ์ ศรีทองดี เป็นพ่อโรมันกับนินจา หม่าม้าชอบทำกาแฟมาก ปะป๊าชอบวาดรูปมาก มีลูกชาย 2 คน น่ารักมาก พวกเราอยู่บ้านหัวหินมา 7 ปีแล้ว และนี่คือบันทึกวันสำคัญของพวกเรา
24 กุมภาพันธ์ 2555 วันที่แม่จากไป
แพร: พอแม่เสีย เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถอยู่กรุงเทพฯ ได้แล้ว เพราะว่ามันมีความทรงจำมากเกินไป ในระหว่างที่จัดงานศพน่ะ เราต้องขับรถขึ้นทางด่วนไปที่วัด แล้วทุกวันที่ไปวัดเรารู้สึกว่าโลกมันไม่เหมือนเดิม ทั้งเมืองนี้มันไม่มีแล้ว ทั้งโลกนี้เราจะไม่ได้เจอแม่อีกแล้ว มันเป็นความรู้สึกว่าเราไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ในที่เดิม ถนนเส้นเดิม ร้านอาหารร้านเดิม ซูเปอร์มาร์เก็ตเดิมที่เคยไปกับแม่มาตลอดชีวิตได้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนหมดเหมือนแค่วันนี้กับพรุ่งนี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว โลกมันเปลี่ยนเป็นอีกโลก โลกเดิมมันแตกสลายไปแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าไม่สามารถรับทั้งหมดนั้นได้ในตอนนี้ เราต้องไปอยู่ที่อื่นพักหนึ่ง ตอนนั้นพอมีทางเลือกคือพี่โลเลทำสตูดิโออยู่ที่หัวหิน ก็คือเป็นบ้านที่เราจะอยู่ด้วยกันนี่แหละ แต่เราคิดว่าจะไปๆ มาๆ กรุงเทพฯ-หัวหิน คือตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะย้ายออกไปอยู่ถาวร เพราะว่าเราไม่เคยย้ายออกไปอยู่นอกกรุงเทพฯ มาก่อน และไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ต่างจังหวัดได้ เพราะทุกอย่างของเราอยู่ที่นี่ ทั้งงาน เพื่อน ต่างจังหวัดหรือที่อื่นมันต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด คล้ายๆ กับว่าเรากลัวการเริ่มต้นใหม่ แต่ว่าในสถานการณ์นั้นมันคือการอยากเริ่มต้นใหม่ เราเลยแต่งงานแล้วก็ย้ายมาเลย ย้ายมาแบบที่ไม่เอาอะไรมาเลยสักอย่าง เพราะทุกอย่างที่กรุงเทพฯ มันเต็มไปด้วยความทรงจำ แม้กระทั่งรูปถ่ายหรือเสื้อผ้า ก็เลยเอามาแค่เสื้อผ้ากระเป๋าเดียวแล้วมาเริ่มต้นใหม่ที่นี่เลย
คืนแรกที่บ้านหัวหิน
แพร: พี่โลเลบอกว่าบ้านเสร็จแล้วนะ เดี๋ยวไปรับที่กรุงเทพฯ แล้วมาทดลองนอนกัน พอไปถึงก็คือมันโล่งมากจนเหมือนเรานอนในศาลาวัด การที่นอนกับพื้นแล้วเพดานบ้านสูงมันทำให้เราโคตรเวิ้งว้าง คือเราต้องมานอนกอดกันเพื่อให้มีพื้นที่แคบลงในเสื่อผืนหนึ่ง เราคิดกันว่าพรุ่งนี้เราไปซื้อเฟอร์นิเจอร์กันเลย เพราะมันโล่งไป
โลเล: ตื่นเช้ามาแสงแดดมันก็สาดเข้ามาอย่างสวย สดใสมาก แสงมันพาดเข้ามาเป็นลำเลย รู้สึกว่านี่คือบ้านของเราแล้ว เพราะว่าเราได้นอนแล้ว เราได้ประสบการณ์ร่วมกับพื้นที่นี้แล้ว แต่เดิมมันยังไม่มีชีวิตเลยล่ะ เพราะมันคือที่ก่อสร้าง เราไม่รู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่เราเดาว่าเราน่าจะรู้จักบ้านเรามากขึ้น
แพร: มันเป็นวันที่จำได้ เพราะว่ามันเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับเราที่เหมือนมาจากศูนย์ คือตอนที่เราเกิดมาตอนเด็กๆ ความทรงจำเราไม่เคยมีบ้านที่โล่งแบบนี้ เกิดมาบ้านก็มีพ่อแม่ มีเฟอร์นิเจอร์แล้ว อันนี้คือการเดินเข้ามาในบ้านเปล่าๆ โอเค ชีวิตใหม่เรากำลังจะสร้าง บ้านใหม่ก็กำลังจะสร้าง ตอนนี้มันจะเป็นก้าวที่หนึ่งของเราเลย
วันที่บ้านมีชีวิต
แพร: ตอนที่เข้ามาแล้วต้นไม้มันไม่มีเลย เราก็รู้สึกว่าเหมือนอยู่ในทะเลทราย เลยรู้สึกว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือการปลูกต้นไม้ แล้วจริงๆ เราเป็นคนกลัวแดดมาก เพราะเรากลัวการเป็นฝ้า แต่อันนี้กลัวความแห้งแล้งมากกว่า เราเลยไปหาต้นไม้ก่อน ไปถามคุณลุงข้างบ้านก่อนว่ามีต้นอะไรที่มาปลูกได้ไหม เขามีต้นหมากสองต้นก็ลากมา ทำยังไงก็ได้ให้มันดูชุ่มชื้นกว่านี้ วันที่เราเดินออกมาจากบ้านวันหนึ่ง เรารู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมต้นนี้มันสูงขนาดนี้แล้ว แล้วต้นนั้นที่เราปลูกมันสูงเลยหัวเราแล้ว คือหันไปอีกทีต้นไม้มันโตและยึดติดกับดิน มันเติบโตและเบ่งบานของมันแล้ว เรารู้สึกเลยว่านี่คือที่ที่มีชีวิตแล้ว
โลเล: เราไม่คิดจะเอารูปวาดเรามาแต่งด้วยซ้ำไป แต่แพรบอกว่าอยากเอารูปมาติด ทำให้เราเห็นอะไรที่เราคาดเดาไม่ออก มันก็สวยดีนะ แล้วพอเราอยู่นานขึ้น เราก็มีของ เราก็รู้สึกว่าของบางอย่างก็วางเก็บไว้ กีตาร์ยังอยู่ในกล่อง มันก็รู้สึกว่าเธอน้อยใจนะว่าเราไม่เจอมันเลย ผมเลยเอาของเหล่านั้นออกมา เราอยากเห็นของที่เราชอบ ผมก็เริ่มแขวนกีตาร์เป็นแผง มีสิบตัวก็เรียงมัน แล้วก็นั่งมองมันด้วยความชื่นชอบ ผมไปปรินต์รูปมือเบสคนที่ชอบเอามาแปะ พอเราทำแบบนี้มันยิ่งเริ่มสนุก และรู้สึกว่ามันเป็นชีวิตของเรา นี่คือชีวิตของโลเล
วันที่ตัดสินใจมีลูก
แพร: ตอนที่เราคบกับพี่โลเลน่ะ เราสองคนชอบการท่องเที่ยวและการเดินทาง เราไม่มีภาพการมีลูกไปด้วย เพราะรู้สึกว่าการไปกันสองคนนี่เจ๋งมาก เพราะเราได้ลุยกันสนุกๆ แต่พอเราเสียแม่ไป ช่วงแรกเราฝันถึงแม่ทุกวันอยู่เกือบปี เราคิดอยู่ตลอดว่าเหมือนทำอะไรหาย และต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งถึงรู้ว่าไอ้ความสัมพันธ์นั้นแหละที่เราทำหายไป เรารู้สึกตัวเราเป็นรู และเราอยากทำให้รูนั้นหายไป แต่เราไม่สามารถสร้างแม่ใหม่ได้ แต่เราสามารถที่จะเป็นแม่ได้ เราก็เลยอยากได้ความสัมพันธ์ที่มันอบอุ่นมากอันนั้นกลับมา คือเราไม่ได้คิดว่าเราอยากมีลูกเพื่อจะทำให้ครอบครัวสมบูรณ์หรืออะไรเลย เราอยากมีลูกเพื่อที่จะได้ความสัมพันธ์แม่ลูกนั้นกลับมา เราก็เลยบอกพี่โลเลว่าเราจะมีลูกเพราะเราอยากเป็นแม่ พรุ่งนี้ไปหาหมอกันเลย
โลเล: ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีลูก เฮ้ย มันคือไอเดียใหม่ในชีวิต บอกปั๊บเราก็โอเคเลย ไม่เคยคิดถึงเลยว่าจะเจออะไรข้างหน้า แพรเสนอมาเราก็สนุกด้วย
29 เมษายน 2556 วันที่โรมันดิ้น
แพร: เดือนที่ 7-9 นอนดูพุงของตัวเองแล้วก็เห็นพุงขยับเป็นคลื่น ไม่รู้ว่าขาหรือแขนวาดจากพุงข้างหนึ่งมาอีกข้างหนึ่ง เหมือนเรามีมนุษย์อยู่ในท้อง แล้วสร้างมนุษย์คนหนึ่งขึ้นมาจากถุงน้ำ 0.7 เซนติเมตร ตอนนี้มีแขน มีขา และกำลังขยับอยู่ในท้องเรา มันรู้สึกประหลาดใจมาก แปลกมากที่เรารู้สึกถึงเขาขึ้นมาทันที ตอนแรกอาจดูเวอร์ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราคุยกับลูกทุกวัน ความผูกพันมันเริ่มตรงนั้น เราคิดว่าคนท้องทุกคนต้องเจอ คนที่เป็นแม่มาก่อนก็จะมาบอกเราว่าเราจะไม่ว่างแล้วนะ ถ้าอยากเที่ยว อยากนอน ต้องทำตอนนี้ ถ้าลูกออกมาเราจะไม่ได้นอน ไม่ได้เที่ยว เราจะสูญเสียความเป็นส่วนตัวทุกอย่าง แต่เรากลับไม่ได้มองอย่างนั้นเลย เรากลับรู้สึกว่าเราได้มีชีวิตส่วนตัวมาแล้ว ทั้งชีวิตวัยรุ่น ชีวิตคู่กับพี่โลเล เราไม่มีความกังวลอะไรเลยที่ต้องสูญเสียอะไรที่เคยทำเป็นประจำ เราสนุกกับการเปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำ ถ้าชีวิตเราเป็นหนังเรื่องหนึ่ง บทแรกคือกรุงเทพฯ พอแม่เสียก็คือจบภาคหนึ่ง เราเลยเริ่มต้นภาคสองด้วยการออกมาอยู่ที่ใหม่ มีการเดินทาง มีเพื่อนใหม่ มีงานใหม่ มีลูก พอลูกดิ้นนั่นแหละ เรารู้สึกว่ามันมาแล้ว มันจริงมาก เราเป็นแม่แล้ว ชัวร์!
12 กันยายน 2556 ที่โรมันเกิด
โลเล: ก็ถือเป็นวันที่แปลกประหลาดมากวันหนึ่ง เพราะว่าเราไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ ผมว่าการมีลูกมันมีความวิตกกังวลเหมือนกันนะว่าลูกจะออกมาปลอดภัยไหม ไม่รู้จะออกมาเป็นอย่างไร หน้าตาจะเป็นอย่างไร เราคิดอะไรไม่ออกเลย เราแทบไม่รู้จะวางตัวเองอย่างไร ไปนั่งรอที่โรงพยาบาลเงียบๆ เรานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามห้องอบเด็ก เดี๋ยวอีกไม่กี่นาทีนี้เราจะได้เจอตัวที่อยู่ในท้องแล้วนะ ทั้งกังวล ทั้งตื่นเต้น เรานั่งกระสับกระส่ายจนกระทั่งได้ยินเสียงร้อง อุแว้ อุแว้ ผ่านมาในอาคาร เฮ้ย! นี่ใช่เสียงลูกเราหรือเปล่านี่ มันน่าจะใช่นะ ผมคุยกับตัวเอง เสร็จแล้วก็มีพยาบาลเดินมาบอกว่า ใช่คุณพ่อน้องโรมันหรือเปล่า ออกมาแล้วหรือครับ ใช่หรือครับนี่ เฮ้ย! หน้าเขาพะงาบๆ นี่ลูกเราหรือ ทำไมหน้าตาเป็นแบบนี้ มันดูเหมือนมนุษย์ต่างดาว รู้สึกขำน่ะ
แพร: เสร็จแล้วพอเขาพามาห้องพักฟื้น พี่โลเลไปดูลูกมาแล้วล่ะ พี่โลเลถามว่าเห็นโรมันหรือยัง เราบอกว่าเห็นแล้ว เราถามว่าน่ารักไหม เขาบอกว่าไม่รู้ (หัวเราะ) คือเราทั้งสองคนไม่รู้จะพูดว่าน่ารักหรือว่าเราดีใจมาก เรารู้สึกได้ว่าพี่โลเลต้องรู้สึกเหมือนเรา มันเป็นวันที่สองที่เราต้องไปให้นม พอเขาเอาลูกมาอยู่ในแขนเรา คือรู้สึกว่าลูกเราโคตรน่ารักเลย แต่ไม่อยากพูด เพราะรู้สึกเวอร์ แต่อยู่ๆ พี่โลเลก็พูดขึ้นมาว่า ‘เราไม่เคยเห็นเด็กคนไหนน่ารักเท่าลูกเราเลย’ (หัวเราะ) ทำไมลูกเราน่ารักจัง เราบอกพี่โลเลเลยนะว่าห้ามตั้งความหวังอะไรเลย ขอให้ลูกแข็งแรงก็พอ และขอให้เขาเป็นเด็กที่มีความสุข เราไม่สนเลยนะว่าเขาจะโตมาแล้วเก่งไหม นั่นเป็นเรื่องที่เราไม่สนจริงๆ ไม่มีความคิดในการที่เราเป็นศิลปินแล้วลูกก็จะต้องเป็นศิลปิน คือจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ขอให้แข็งแรงและมีความสุข คิดตั้งแต่วันแรกที่ลูกเกิดเลย แค่นั้นคือพอ
วันธรรมดาวันหนึ่ง
โลเล: บ้านที่เคยดีไซน์ไว้ พอมีลูกก็เปลี่ยนไปอีก เพราะว่ามันรกมาก ตอนแรกเรามองไปก็ โอ้โห รกจังเลย เวียนหัวเหมือนกัน แต่พอดูไปดูมาสักพัก มันก็น่ารักของมันเนอะ คือเทปอะไรไม่รู้ ลูกวาดรูปก็ติดไว้ อะไรก็วางไม่เป็นที่เป็นทาง แต่มันมีเสน่ห์และมีชีวิต แต่เราก็ยอมรับว่านี่คือดีไซน์แบบหนึ่ง
แพร: แม่ต้องเป็นนักจัดการน่ะ ถ้าเราอยากจะทำอะไร เราต้องบริหารเวลา 24 ชั่วโมงให้เรามีช่วงที่ทำได้ มันทำให้เรากลายเป็นคนที่คิดก่อนทำเยอะมาก แล้วเราก็รู้สึกว่ามันทำให้เราเจอโอกาสให้เราได้ทำอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำ เพราะเราไม่สามารถทำอะไรแบบเดิมได้ เช่น วาดรูป วาดไม่ได้เลยเพราะไม่มีเวลา เราก็เลยคิดว่าเขียนหนังสือแล้วกัน เพราะเราคิดว่าความทรงจำ 3 ปีแรกเขาจะไม่มีวันจำได้ เราก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะจดบันทึกอะไรพวกนี้ไว้ให้โรมัน เราเขียนมันทุกคืน คืนละเอสี่ แล้วมันก็กลายเป็นหนังสือ แม่โรมัน เราก็รู้สึกว่านี่คืองานใหม่ที่เราไม่เคยทำเลย เราไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน และเราก็ไม่คิดว่าจะมีหนังสือของตัวเอง แถมเป็นหนังสือเกี่ยวกับลูกในหมวดจิตวิทยาเด็ก เราไม่คิดว่าจะไปสู่จุดนี้ แต่เป็นงานชิ้นแรกที่ทำตอนที่มีลูกปีแรกแล้วรู้สึกดีมาก อยากเป็นกำลังใจให้แม่ทุกคนว่าเราทำอะไรไ้ด้เยอะนะตอนที่เรามีลูก ก็ทำเกี่ยวกับลูกนี่แหละ เรื่องเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญ อยู่ที่การจัดการจริงๆ แม่ทุกคนทำได้
16 ธันวาคม 2558
แพร: ช่วงที่โรมันเริ่มเดินได้ เราไม่สามารถจะหยุดถ่ายรูปโรมันได้ เพราะรู้สึกว่ามันเร็วขึ้นอีกแล้ว เพราะว่าตอนที่เราอุ้มโรมันตอนที่เป็นเบบี๋มันนานมากกว่าเขาจะเดินได้ แต่แป๊บเดียวเขาก็เดินได้แล้ว มันเหมือนเรากะพริบตา มันทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย เราต้องไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยที่ไม่ได้เก็บบันทึกอะไรไว้บ้างเลย มันเหมือนเราจะรู้สึกเสียดายนิดๆ ว่าต่อไปเด็กคนนี้จะไม่มีอีกแล้วที่งอแงง้องแง้งหาแม่ เด็กคนนี้จะหายไปในที่สุด เราเลยอยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้ จริงๆ ไม่ได้เก็บให้โรมัน แต่เก็บให้ตัวเอง เพราะถึงวันหนึ่งที่เขากลายร่างเป็นผู้ใหญ่ คนที่จะนั่งดูรูปพวกนี้แล้วคิดถึงวันเก่าๆ คือเรา โดยที่เราเห็นภาพถ่ายนั้นภาพเดียว แต่ข้างหลังภาพมันอยู่ในใจเราหมดแล้ว
11 พฤษภาคม 2560 วันที่นินจาเกิด
โลเล: น้องจะออกมาแล้ว เราก็ไปโรงพยาบาลด้วย เราเลยเล่าให้โรมันฟังว่าตอนที่เกิดก็โผล่ออกมาจากห้องนี้แหละ แล้วเราก็วิ่งไป เดี๋ยวโรมันก็ต้องเป็นเหมือนกัน เดี๋ยวน้องจะออกมาแล้ว เราคอยฟังนะว่าเราจะได้ยินเสียงไหม เหมือนวันนั้นเลยที่โรมันเกิด แต่มีเพื่อนที่ลุ้นด้วยกัน จนกระทั่งได้ยินเสียงอุแว้ อุแว้ เราวิ่งกันไปดูหน้าตู้ นี่ไงโรมัน นี่นินจาไง
แพร: วันที่นินจาเกิดแล้วโรมันไปดูน้องน่ะ โรมันก็เตรียมของเล่นไว้ให้น้องทันทีตั้งแต่วันแรก เพราะเขาเข้าใจว่าน้องออกมาปุ๊บก็เล่นกับโรมันได้เลย ตอนแรกเขางงและมีความน้อยใจนิดๆ ด้วยว่าทำไมน้องไม่ลุกขึ้นมาเล่นเสียที เขาไม่เข้าใจ เราก็ต้องอธิบายและทำให้รู้ว่าโรมันอยู่ทีมแม่ ตอนนี้โรมันกับแม่เราต้องแท็กทีมกันแล้วช่วยดูแลน้องจนกว่าน้องจะมาเล่นกับเราได้ โรมันก็เข้าใจและเป็นพี่ชายทันที เขารู้สึกว่าเขาเป็นผู้ปกครองนินจาคนหนึ่ง เขาจะต้องดูแล เช่น นินจาใส่รองเท้าไม่ได้ มา! พี่ใส่ให้ เขาจะทำเสียงพระเอกน่ะ พยายามจะเปลี่ยนผ้าอ้อมน้อง พยายามจะพาน้องไปนอน เขาเหมือนแม่เลย วิธีการที่แม่สอนน่ะ เราจะสอนด้วยการคุยกับโรมัน คุยกันยาวๆ เลย เขาก็ทำแบบนั้นกับนินจาที่ยังฟังไม่ได้ แต่เขาก็ใช้วิธีการคุย เรารู้สึกว่าการที่เขาคุยกับนินจาก็คือคุยกับตัวเองด้วย ก็ดีนะ
วันนี้เป็นพ่อลูกสองแล้ว
โลเล: ที่จริงแล้วเนี่ยการมีลูกคนที่หนึ่งกับคนที่สองเลี้ยงไม่เหมือนกันนะ เพราะคนแรกเราไม่เคยมีลูกมาก่อน เลยวุ่นวายไปหมดกับการหาว่าลูกมีอาการแบบนี้คืออะไร มีพฤติกรรมแบบนี้มันจะเป็นอะไร พอคนที่สองไม่มีเลย เราปล่อยเลย เอายังไงก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ จะล้างก้นก็ง่ายมาก เปิดก๊อกน้ำล้าง ไม่ต้องมีทิชชู่เปียกอะไรให้ซับซ้อน ขับรถอยู่กลิ่นมาก็ เอ้า! อึแล้วเนี่ย ก็เลี้ยวรถกดน้ำล้าง ณ ป่าละเมาะ ทุกอย่างง่ายหมดเลย เหมือนเรามีลูกคนที่หนึ่งมาแล้ว ลูกคนที่สองก็ง่าย
วันที่พบแก้วกาแฟเปลี่ยนชีวิต
แพร: ก่อนที่เราจะมีลูก เรากินกาแฟไม่เป็นเลย หมายความว่ากินแล้วมันขม ไม่ชอบกลิ่น แล้วพอลูกยังเล็กมาก ต้องอุ้มตลอดเวลาเพราะไม่มีพี่เลี้ยง ก็เลยไปนั่งร้านกาแฟทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งน้องเจ้าของร้านเขาถามว่าพี่ลองกินตัวนี้ไหม มันมีกลิ่นดอกไม้ด้วยนะ พอกินไปแล้วเราแปลกใจมาก เพราะมันไม่ขม พอเขาอธิบายว่ามันเป็นพันธุ์เอธิโอเปียนะ เราก็สงสัยว่ามีพันธุ์อื่นด้วยหรือ เขาบอกว่ามันมีเยอะมาก จากนั้นเราเลยเริ่มตามหากาแฟหลายสายพันธุ์ อยากรู้ว่ามันมีรสอะไรอีก ชิมไปชิมมารู้สึกว่าอยากทำ ก็ลองทำดู วันที่เราเทน้ำชงวันแรก เรารู้เลยว่าเราไปอีกโลกหนึ่งมา 3 นาที ถ้าเราจะทำกาแฟดริปแก้วหนึ่ง เรารวบรวมพลังทั้งหมดของเรา 3 นาทีนี่เราหายไปเลยจากโลกนี้ มันมีเสน่ห์จนเราอยากชงทุกวัน นี่แหละคือสิ่งที่เราอยากทำตลอดชีวิต เราเลยอยากทำร้าน มันจะเป็นภาคใหม่ของชีวิตเรา
วันแรกของโรนิน
แพร: เราคิดตลอดเลยว่าลูกค้าคนแรกของเราจะเป็นใคร แล้วลูกค้าคนแรกมักจะมาตอนวันที่เรายังไม่เปิดร้าน เพราะร้านยังไม่เสร็จ แต่ลูกค้าคนแรกคือคนที่เห็นว่ามันดึงดูดมากจนเขาต้องเข้ามาแล้วอยากจะกิน แล้วเราจะจำคนคนนั้นได้ ลูกค้าคนแรกที่เราชงกาแฟให้ดื่มก็คือ พี่ด้วง-ดวงฤทธิ์ บุนนาค เราตั้งใจทำมาก พี่ด้วงบอกว่าแค่เห็นตอนเราทำก็รู้สึกว่ามันอร่อยแล้ว กาแฟอะไรมันละเมียดขนาดนั้น เขาดื่มไปแล้วรู้สึกว่ามันเป็นกาแฟที่ประณีต ประทับใจเหมือนกันนะ เพราะเขาบอกว่าไม่เคยกินกาแฟที่ประณีตขนาดนี้มาก่อน เรากับพี่โลเลรู้ตัวอยู่แล้วว่าเราไม่ใช่นักธุรกิจ เราไม่เคยคิดเลยว่าการลงทุนต้องลงทุนเท่าไร ต้องคืนทุนเท่าไรถึงจะเรียกว่าคุ้ม เราคิดว่ามันขึ้นอยู่กับมุมมองแต่ละคนว่าความคุ้มค่าคืออะไร สำหรับเราคือชงกาแฟแก้วแรกมีคนกินแล้วอร่อย เราก็คุ้มแล้ว แค่พี่โลเลเขามีพื้นที่ได้ติดรูปขึ้นไปรูปหนึ่ง แล้วพื้นที่ศิลปะเป็นของตัวเอง นั่นก็คุ้มแล้ว แค่นั้นเราคุ้มมากแล้ว
วันธรรมดาวันหนึ่ง
โลเล: ถ้าอยู่ที่ร้านแพรเขาต้องชงกาแฟ เราก็ดูลูก แล้วเวลาลูกง่วงนอนเราก็อุ้ม เวลาอุ้มแล้วลูกจะชอบถือสิ่งของเป็นประจำ แล้วเราก็สังเกตได้ว่าของหล่นเมื่อไร แสดงว่าเขาหลับแล้ว และตัวเขาจะหนักขึ้นหน่อยหนึ่ง ที่สำคัญคือเราต้องมีกระจกติดผนัง ลูกอยู่ข้างหลังเราจะไม่เห็นหน้าลูก แล้วเราจะต้องถามคนอื่นว่าเขาหลับหรือยัง ถ้าเราไม่มีคนถาม เราก็ต้องมีกระจกเพื่อจะดูว่าลูกหลับหรือยัง
18 สิงหาคม 2561
แพร: มีผู้ชายคนหนึ่ง เราก็รู้สึกคุ้นหน้าเขานะ เขาบอกว่าผมมาส่งพัสดุให้พี่ทุกอาทิตย์เลยครับ เขาบอกว่าเขาส่งจนอยากกิน นี่เรารู้สึกว่าโคตรทำให้หัวใจเราพองโต การที่เห็นเราทำจนอยากกิน จนต้องมานั่งกิน มันทำให้เราอยากทำให้เขาดีที่สุด แล้วเขาบอกว่ามันอร่อยมาก เขาไม่เคยกินกาแฟที่มันรสชาติแบบนี้เลย มันหอม พี่ทำแล้วมันดูน่ากินมาก เราเลยรู้สึกว่ารสชาติกาแฟมันไม่ได้อยู่แค่ในถ้วยนั้นหรอก มันอยู่ทั้งหมดเลย มันรวมถึงวิธีการชง อากาศในร้าน สี แสง ลูกๆ เสียง ทุกอย่างในร้านเราคือรสชาติของกาแฟแก้วหนึ่งที่เขาอยากกิน
23 มิถุนายน 2562
แพร: บ้านที่อยู่มาปีที่ 7 ต้นไม้ที่โตมาด้วยกันจนเรารู้สึกว่ามันโตได้ขนาดนี้เลยหรือ มันโตสูงเลยบ้านเลยนะ พอเราตื่นมาก็ขอชงกาแฟแก้วหนึ่งแล้วค่อยลงไปคุยกับต้นไม้ ชอบคุยกับดอกกุหลาบน่ะ แต่ก็มีคนเขียนในพันทิปเหมือนกันนะว่าต้องคุยกับดอกไม้แล้วมันจะออกดอก มันออกดอกเยอะมาก เราแค่รดน้ำไปแล้วพูดว่า ‘โดนตัวอะไรกัดมา นี่ใบแหว่งนะ ขอเอาออกหน่อยนะ แห้งมากเลย เมื่อวานลืมรดน้ำหรือเปล่า’ เหมือนบ่นกับต้นไม้ไป พอคุยเสร็จเราก็กินกาแฟแก้วหนึ่งที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้ที่เป็นเพื่อนกัน มันรู้สึกสงบมาก รู้สึกว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตสงบ มีความสุข และเป็นประโยชน์ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ 1-2 ครั้งต่อวันก็โอเค นั่นคือชีวิตประสบความสำเร็จแล้ว จุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่ของเรามีแค่นั้น
24 มิถุนายน 2562 วันที่ตัดสินใจปิดโรนิน
แพร: คือเวลาเรามาทำงานที่ร้าน พี่โลเลจะต้องเลี้ยงลูกข้างบน พอเวลาผ่านไปเรารู้สึกสงสารพี่โลเล ชีวิตของเขาคืองานศิลปะ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเหมือนทำแต่ชีวิตของเรา ทั้งลูกและสามีของเราต้องมาอยู่ที่ร้านหมดเลย เพราะเราจะทำกาแฟ เรารู้สึกว่าชีวิตไม่สมดุลแล้ว เพราะพี่โลเลทำงานยาก มันต้องสมดุลแล้วแน่ๆ บางทีเราเห็นโรมันวิ่งลงไปข้างล่างแล้วบอกว่าเบื่อจังเลยแม่ คือเขาอยากได้พื้นที่การเล่นที่มากกว่าข้างบนนี้ เราเลยบอกพี่โลเลว่ากลับบ้านไปทำร้านที่บ้านเถอะ เราจะได้ทำกาแฟเหมือนเดิม แต่พี่โลเลจะได้วาดรูป ลูกจะได้เล่นที่บ้าน ปีหน้านินจาไปโรงเรียนกลับมาก็ได้กลับบ้านเลย ทุกคนได้อยู่บ้านแล้วทำสิ่งที่ตัวเองรักพร้อมกันหมด มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เราเลยกลับบ้านเลย วันต่อมาเราประกาศแล้วว่าเราจะปิดและย้ายไปที่โน่น เรารู้สึกดีมากกับความเปลี่ยนแปลง คือรู้สึกว่ามันใช่ มันเป็นเวลาที่ถูกต้องมาก ตอนนี้เรากลับบ้านได้แล้ว มันเป็นสิ่งที่โคตรดี และเรารู้แล้วว่า ‘บ้าน’ อยู่ไหน เราสามารถทำสิ่งที่รักอยู่ในบ้านที่เรารัก และอยู่กับคนที่เรารัก ดีมาก ไม่ได้คิดเลยนะว่า เฮ้ย เราจะย้ายไปตอนนี้โดยที่ที่นี่ยังไม่คืนทุนได้เลยหรือ เพราะเราลงทุนไปเยอะมากเลยนะ เรารู้สึกว่ามันคืนทุนไปตั้งแต่แก้วแรกที่เราชงไปแล้ว เรารู้สึกว่ามันคือภาคใหม่ไปแล้ว เรารู้สึกว่าไม่ได้ไปไหน แต่มันคือการกลับไปบ้าน อีกอย่างเราไม่เคยคิดว่าการชงกาแฟของเราเป็นบาริสต้า เราไม่คิดว่าคือผู้เชี่ยวชาญทางกาแฟหรืออะไรเลย เรารู้สึกว่าเป็น Home Brewer ตลอดเวลา เรารู้สึกว่าการกลับไปชงกาแฟที่บ้านมันเหมาะสมที่สุดแล้ว
วันนี้ของโลเล
โลเล: การที่เรามีลูกหรือเรามีภารกิจมากมาย เป็นภารกิจที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลยนะ ภารกิจเล็กๆ นี่แหละ เอาลูกเข้านอนบ้าง หรือว่าหาขนมให้ลูกกิน ทำให้ลูกไม่ร้อง ทำให้ลูกสนุก อะไรพวกนี้กลายเป็นว่าภารกิจที่สำคัญใหญ่โตเหมือนกัน เราต้องควบคุมให้มันมีความสุข ลองนึกถึงว่าเราจะต้องมีเวลาทำงานที่เราอยากทำ เป็นขีดจำกัดที่เรียกว่าเวลาน้อยมาก แล้วเราก็มีวิธีคิดของเราก็คือว่าต้องทำให้เราทำได้ ไม่ให้เรารู้สึกว่ามันเป็นภาระ เวลาเล็กๆ นี่แหละ แต่ต้องหาวิธีจัดการให้มันได้ มันเลยเป็นวิธีจัดการให้เราวาดรูปเร็วขึ้นมาก คิดเร็ว แก้ปัญหาได้เร็ว วิธีการวาดรูปสมัยก่อนเราต้องวางแผนเยอะ มันถูกวางแผนและคิดไว้ก่อน เพราะมีเวลาเยอะ สมมติเราจับกีตาร์ เราคิดว่าเล่นแบบไหนหรือคิดเพื่อสร้างงานอย่างไรแบบไหน กลับกลายเป็นว่าหลังๆ เราเล่นดนตรี เราอาจจะเล่นด้วยวิธีการง่ายและเร็ว เพราะเรามีเวลาไม่เยอะ แล้วเราอาจได้พบอะไรใหม่ๆ และมันก็จะมีความกระหายมากเลย กระหายที่จะหยิบจับกีตาร์ เหมือนเราจากมันมา หรือเราอยากวาดรูปมาก รู้สึกว่าต้องการปากกากับกระดาษ แล้วทุกครั้งที่เราได้ทำมันช่างเอร็ดอร่อย เพลินมาก แต่พอมันคิดแบบนี้จนชิน มันก็เป็นแพตเทิร์นแล้ว จะทำอะไรเราก็อยากโอบกอดสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ เหมือนเวลาอยู่กับลูก เราก็กอดลูกอย่างละมุนละไมจริงๆ ขับรถฟังเพลงเราก็รู้สึกว่าเพลงนี้มันเพราะ อาจเรียกว่าโลภมาก อยากทำทุกอย่าง อยากสัมผัสกับทุกอย่างให้มันได้อย่างเต็มที่ พอเวลามันมีน้อยนิด เรากลับรู้สึกว่าไอ้น้อยนิดน่ะ เราต้องเปิดใจและสัมผัสมันอย่างจริงใจ เมื่อเปิดใจเราจะลืมอดีต ลืมอนาคต เราจะอยู่ตรงนั้นอย่างอิ่มเอิบมาก แล้วเราจะพบข้อดีที่มันอาจจะดูธรรมดา เราคิดว่าทุกอย่างมีข้อดีหมดเลย ในความบ้านรก ในลูกขี้มูกไหล ลูกดื้อ หรือเด็กทะเลาะกัน เราก็ต้องมองหาข้อดี มันอาจเป็นประสบการณ์ที่ดีให้เราเรียนรู้
วันนี้ของแพร
แพร: บ้านเป็นที่ที่สำคัญมาก เพราะบ้านมันโตมากับเรา แล้วมันก็มีร่องรอยการใช้ชีวิตของเรา เป็นที่ที่เราสร้างครอบครัวมา ในบ้านมันมีส่วนประกอบเป็นโลกเล็กๆ หลายโลกอยู่ในนั้น แต่ว่าจะเชื่อมโยงคือบ้าน เราคิดว่าความสำคัญของการใช้ชีวิตคือเรารู้ว่าเราพอหรือยัง และเรารู้ว่าอะไรที่ทำให้เรามีความสุขจริงๆ จริงๆ แล้วมันยากนะ หลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีความสุข พอและเต็มตรงไหน สำหรับเราบ้านคือที่ที่พอและเต็มมาก จนเรารู้สึกว่าตายวันนี้ได้อย่างไม่เสียดาย เราได้อยู่บ้านชงกาแฟ ได้อยู่กับคนที่เรารัก นี่คือเต็มที่สุดแล้ว นี่คือพอแล้ว เราได้รวมสิ่งมีค่าทั้งหมดไว้แล้วที่บ้าน
Credits
Director & Script Writer & Editor วรรณแวว-แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ Subject ครอบครัวศรีทองดี
Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข
Show Producers อธิษฐาน กาญจนะพงศ์
Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค
Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์
Graphic Designer เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล
Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
Webmaster รพีพรรณ เกตุสมพงษ์
- Somewhere I Belong ที่นี่ที่ของเรา สนับสนุนโดย บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และนวัตกรรมการอยู่อาศัย เพราะเอพีเข้าใจความสุขในทุกรูปแบบของชีวิต
- เอพีเข้าใจวิถีการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป จึงได้หาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของชีวิตให้ลงตัว ด้วยการนําเทคโนโลยีมาประยุกต์เข้ากับพื้นที่บ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ THE CITY, CENTRO และ THE PALAZZO ผสมผสานฟังก์ชันสู่สเปซแห่งนวัตกรรมที่เข้าใจการใช้ชีวิตแบบไฮบริดอย่างแท้จริง 4 ด้าน ได้แก่ Cost-saving, Security, Comfort และ Community
- พฤศจิกายนนี้ พบโปรโมชัน Hybrid Living บ้านนวัตกรรมที่คุณเลือกได้ มูลค่าสูงสุดถึง 4,000,000 บาท* สามารถเข้าชมและจองบ้านพร้อมอยู่ในโครงการได้แล้วที่ Sales Gallery ทั่วประเทศ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก www.apthai.com/HybridLiving/