บริษัทวิดีโอเกมรายใหญ่ที่สุดของโลกสองแห่งกำลังรู้สึกกดดันเมื่อสงครามเกมคอนโซลเริ่มร้อนแรงขึ้น โดยราคาหุ้นของ Sony และ Nintendo ผู้ผลิต PlayStation และ Switch ตามลำดับ ได้ลดลงในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ เนื่องจากยักษ์ใหญ่จากแดนซามูไรทั้งสอง ลดการคาดการณ์การขายคอนโซล
ราคาหุ้นที่ลดลงเกิดขึ้นในขณะที่ทั้งสองบริษัทต่อสู้กับปัญหาการขาดแคลนชิปทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง แม้ความต้องการคอนโซลจะยังคงแข็งเกร่ง แต่กลับไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการ
Sony ได้ปรับลดการคาดการณ์สำหรับ PlayStation 5 โดยคาดว่าจะขายได้ 11.5 ล้านเครื่องในปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม ซึ่งลดลงจาก 14.8 ล้านเครื่องที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ในไตรมาสเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Sony ขาย PlayStation 5 ได้ 3.9 ล้านเครื่อง ลดลงจาก 4.5 ล้านเครื่องในไตรมาสเดียวกันในปี 2020
การปรับลดคาดการณ์ทำให้หุ้นของ Sony ที่จดทะเบียนในประเทศญี่ปุ่นลดลง 6% แม้ผลประกอบการโดยรวมจะเอาชนะการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ก็ตาม
ผลประกอบการที่สดใสมาจากธุรกิจภาพยนตร์และโทรทัศน์ ซึ่งรวมถึงรายได้จากลิขสิทธิ์ซีรีส์ตลกเรื่อง Seinfeld และความสำเร็จของภาพยนตร์ Spider-Man ภาคล่าสุด ในขณะที่ธุรกิจเกมของ Sony มีรายได้ 8.13 แสนล้านเยน ลดลง 8% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ทางด้าน Nintendo ได้ปรับลดคาดการณ์ของยอดขายสำหรับ Switch อีกครั้ง ตอนนี้คาดว่าจะขายได้ 23 ล้านเครื่องภายในสิ้นปีงบประมาณซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 24 ล้านเครื่อง และ 25.5 ล้านเครื่องเมื่อเดือนพฤศจิกายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา
สำหรับไตรมาสธันวาคม Nintendo รายงานรายรับ 6.96 แสนล้านเยน เพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเกือบ 10% สู่ระดับ 2.53 แสนพันล้านเยน
แม้ยอดขาย Switch ในช่วง 9 เดือนแรกจะลดลง 21.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เหลือ 18.95 ล้านเครื่อง แต่ผู้ใช้ยังคงซื้อเกมออนไลน์ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายรับและผลกำไร
ยอดขายดิจิทัลซึ่งรวมถึงการดาวน์โหลดเกมและเนื้อหาเสริม สร้างรายได้รวม 1.11 แสนล้านเยนในไตรมาสเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จของเกมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Pokemon Brilliant Diamond, Pokemon Shining Pearl และ Mario Kart 8 Deluxe
ด้วยยอดขายซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง ทำให้บริษัทเกมยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นได้ทบทวนการคาดการณ์สำหรับปีการเงินที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2022 ขณะนี้ Nintendo คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 5.6 แสนล้านเยน เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 5.2 แสนล้านเยน
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์เตือนว่าการขาย Activision Blizzard ให้กับ Microsoft ด้วยมูลค่า 6.87 หมื่นล้านดอลลาร์ อาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อ Sony ซึ่งแข่งขันกับ Xbox มานานหลายทศวรรษ ด้วย Microsoft จะสามารถเพิ่มเกมยอดฮิตในพอร์ตของตัวเองไม่ว่าจะเป็น Call of Duty และ World of Warcraft ตลอดจนผู้ใช้งานรายเดือนกว่า 400 ล้านคนที่จะมาพร้อมกัน
หุ้นของ Sony ร่วงลงมากกว่า 12% หลังจากการประกาศดีลยักษ์ของ Microsoft แต่ไม่กี่วันต่อมา Sony ตกลงซื้อ Bungie ผู้พัฒนา Destiny และ Halo ในราคา 3.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าดีลดังกล่าวจะทำให้ ‘ธุรกิจเกมมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น’
ขณะที่ Nintendo นั้นยังคงได้เปรียบจากตัวละครและเกมที่แข็งแกร่ง เช่น Pokemon และ Mario ที่มีมายาวนาน อีกทั้งผู้ที่ต้องการเล่นเกมของ Nintendo ซื้อฮาร์ดแวร์ของ Nintendo ดังนั้น Nintendo จึงยังคงสร้างความแตกต่างให้กับแพลตฟอร์มของตนจากคู่แข่งได้
แต่ “หาก Nintendo ต้องการเพิ่ม M&A (การควบรวมและซื้อกิจการ) ในอนาคต เราคาดหวังให้พวกเขามุ่งเน้นไปที่บริษัทที่พวกเขามีความสัมพันธ์ในการทำงานที่แน่นแฟ้นอยู่แล้ว” นักวิเคราะห์อาวุโสของ Niko Partners กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Microsoft ปิดบิ๊กดีล ทุ่มงบ 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซื้อกิจการ Activision Blizzard บริษัทเกมชั้นนำ เตรียมพร้อมเข้าสู่โลก Metaverse
- หุ้น Sony ร่วง 10% เมื่อ Microsoft ประกาศเข้าซื้อบริษัทเกมยอดฮิต คาดนักลงทุนกังวลเรื่องสงครามคอนโซลเกมที่จะร้อนแรงขึ้น
อ้างอิง:
