วันนี้ (7 สิงหาคม) ที่อาคารรัฐสภา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางเข้ารัฐสภาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ผู้แทนราษฎร ก่อนจะเดินทางไปรับฟังคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลที่ศาลรัฐธรรมนูญในเวลา 15.00 น.
พิธาให้สัมภาษณ์สั้นๆ ก่อนการประชุมว่า ยังมีเวลาอีก 2-3 ชั่วโมง โดยในวันนี้ตนเองจะหารือเรื่องการบริหารจัดการน้ำ เพื่อเป็นปากเสียงแทนประชาชน ทำหน้าที่ สส. ให้สมกับที่ประชาชนเลือกมา ส่วนเรื่องคดียุบพรรคนั้นไม่ได้กังวล แต่ไม่ประมาท เชื่อว่าพรรคยังไปต่อได้ ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไรก็จะเดินหน้าทำงานการเมืองต่อไป
จากนั้นพิธาได้เข้าร่วมการประชุมสภา พร้อมลุกขึ้นปรึกษาหารือถึงการจัดการเรื่องน้ำจำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. ความผันผวนของสภาพภูมิอากาศจากต้นปี 2567 ที่ประเทศไทยประสบกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดภัยแล้งและภัยร้อนที่กระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรหลายประเภท เช่น ธัญพืชและพืชอาหาร แต่เมื่อเข้าไตรมาส 3 จะเริ่มเห็นปรากฏการณ์ลานีญาที่มีปริมาณฝนตกชุก ซึ่งขณะนี้พบว่ามีจังหวัดที่เผชิญกับปัญหาแล้วถึง 37 จังหวัดทั่วประเทศ จึงทำให้หลายจังหวัดเกิดน้ำท่วมทันทีหลังจากที่ฝนตกไปแล้วประมาณ 24-36 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้การเฝ้าระวังและการเตือนภัยจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
ส่วนประเด็นที่ 2 เรื่องการเยียวยาประชาชน พิธากล่าวว่า รัฐบาลควรเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงที เพราะเมื่อประชาชนเผชิญกับปัญหา เขาต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ถูกวางแผนมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นค่าขนส่ง ค่าเช่าบ้าน ค่าซ่อมแซม หรือค่าข้าวของเครื่องใช้ในการทำมาหากิน จึงอาจนำไปสู่อุบัติเหตุทางการเงินระยะยาวที่เยียวยาได้ยาก
ขณะที่ประเด็นที่ 3 พิธากล่าวถึงการจัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผ่านการแก้ไขคุณภาพและสิทธิ์ในการเข้าถึงน้ำสะอาดว่า สัดส่วนของครัวเรือนที่ไม่สามารถเข้าถึงน้ำประปาในเขตชนบทมีถึง 12.8 % ส่วนในเขตเมืองมีแค่ 3.3% ส่งผลให้ครัวเรือนที่ยากจนที่สุดในประเทศกลับต้องซื้อน้ำดื่มบรรจุถัง บรรจุขวด มาดื่มเองเกือบ 75% ตนจึงอยากปรึกษาหารือประธานสภาผ่านไปยังรัฐบาล ให้เห็นถึงความสำคัญของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับน้ำทั้งหมด รวมถึงร่าง พ.ร.บ. ที่พรรคก้าวไกลได้นำเสนอไว้ เพราะเราตั้งใจที่จะให้รัฐบาลมีอำนาจในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพื่อพี่น้องประชาชน
