วันนี้ (17 กันยายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม หลังสถานการณ์น้ำลดที่มีการร้องขอเจ้าหน้าที่ให้เข้าไปช่วยเหลือเรื่องดินโคลนจำนวนมากเข้าไปภายในบ้านเรือนว่า สำหรับกระทรวงกลาโหมได้สั่งกองทัพแต่ละภาคให้เข้าไปดูแลในพื้นที่ของตัวเอง แต่การช่วยเหลือชุดแรกเราเอาเรื่องของชีวิตประชาชนที่ประสบน้ำท่วมก่อน รวมไปถึงการส่งมอบอาหารการกิน แต่หากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง เราก็จะเริ่มทำความสะอาด
แต่ต้องเรียนว่าเรื่องของดินโคลนไม่ได้มีเฉพาะบ้านเรือนของประชาชน ซึ่งก็มีตั้งแต่ถนนใหญ่ ทำให้การเคลื่อนและการติดต่อค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบาก และไม่ได้มีเฮลิคอปเตอร์จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ก็จะเข้าไปดูให้เร็วที่สุด ซึ่งบ้านแต่ละหลังก็มีจำนวนดินโคลนเข้าไปไม่เท่ากัน เราก็ไล่จากถนนใหญ่เข้าไปในซอยไปจนถึงบ้านเรือนประชาชน
ส่วนหน่วยงานที่จะเข้ามาดูเรื่องการคลีนนิ่งก็จะมีทั้งการระดมเครื่องจักรและเครื่องกลจากกระทรวงคมนาคมเข้าไป ขณะเดียวกันนอกจากการฟื้นฟูแล้ว ในพื้นที่อื่น เช่น ภาคอีสาน ก็กำลังประสบภัยน้ำท่วม เราจึงต้องส่งคนเข้าไปช่วยเหลือเช่นกัน อย่างหน่วยซีลเราก็ถอนจากภาคเหนือไปภาคอีสาน
ภูมิธรรมยังกล่าวถึงมาตรการเยียวยาว่า เราเน้นเรื่องความรวดเร็ว จึงได้ให้ใช้กรอบเดิมเพื่อดูแลไปก่อน แต่เราก็รู้ว่าเงินที่ช่วยเหลือนั้นไม่เพียงพอ ต้องพูดคุยกันเพื่อเพิ่มวงเงินช่วยเหลือ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าหน่วยงานรัฐช่วยเหลือล่าช้า ซึ่งทั้งหน่วยกู้ภัยและภาคประชาสังคมเข้าไปถึงพื้นที่ก่อน ภูมิธรรมกล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์สามารถทำได้ แต่ต้องดูให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ตอนที่เกิดน้ำท่วมรัฐบาลยังสั่งการไม่ได้ แต่เราจะเห็นว่าทหารเข้าไปในพื้นที่ตั้งแต่สองทุ่มวันที่เกิดเหตุและพยายามลำเลียงผู้คนออกมา เราจึงเห็นผู้คนจำนวนไม่น้อยอยู่ที่ศูนย์อพยพ
“ผมว่าใครก่อนใครหลังเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ประเด็นคือต้องช่วยกันทำ ใครเข้าไปก่อนก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาเคลม เข้าไปเถอะ ไปช่วยกันทำ ประชาชนเขาเดือดร้อน เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าใครมาก่อนหรือหลัง” ภูมิธรรมกล่าว
ส่วนที่มีข้อวิจารณ์ว่า เวลาผู้ใหญ่ลงพื้นที่ไปก็จะมีหน่วยงานราชการแห่มาต้อนรับ ภูมิธรรมกล่าวว่า เราก็ระมัดระวัง ไม่จำเป็นต้องมารับมาดูแล ก็เอาเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้องก็พอ เพราะถ้าไม่ไปก็จะมาว่าอีกว่าไม่สนใจ พอไปก็บอกว่าคนแห่แหนมา แต่อย่ามาบอกว่าหน่วยงานรัฐไม่มีใครเข้าไปดู อย่างเช่น กระทรวงคมนาคมที่เข้าไปสร้างสะพานแบริ่งไว้ เต็มไปหมดแล้ว และตอนนี้เราก็ให้ความสำคัญกับบนเขา เพราะเส้นทางขาด กองทัพก็เข้าไปส่งอาหาร
ขณะที่เรื่องไฟฟ้า หากพื้นที่ไหนน้ำแห้งแล้วก็เร่งดำเนินการไปติดตั้ง ดังนั้นเรื่องนี้ตนว่าต้องให้กำลังใจกัน อย่างภาคเอกชนที่ขับเจ็ตสกีเวลาคนเข้าไป เขาก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะฉะนั้นอย่าพูดบั่นทอนกำลังใจกัน อยากให้มองบวกและส่งเสริม หากมีเงินก็สละเงิน มีของก็สละของ แต่ถ้าไม่มีอะไรก็ให้กำลังใจกัน
ส่วนอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการเยียวยาประชาชนจากสถานการณ์น้ำท่วมที่จะเข้าการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีว่า วันนี้จะรวบรวมข้อมูลและเสนอนายกรัฐมนตรีให้ทราบ สำหรับการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มเมื่อวานที่ผ่านมา ซึ่งรวมไปถึงจะนำเรื่องของการเยียวยาและชดใช้ค่าเสียหายเข้าที่ประชุมในวันนี้ด้วย ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามหลักเกณฑ์ รวมไปถึงการลดค่าน้ำและค่าไฟในเดือนกันยายนและตุลาคม พร้อมกับย้ำว่า เรื่องของการชดเชยความเสียหายของบ้านเรือนก็มีหลักเกณฑ์ดูแลอยู่แล้ว ซึ่งการเยียวยาไม่ใช่สำรวจว่าจะต้องได้ทุกบาททุกสตางค์ เพราะเป็นการเยียวยา ไม่ใช่ชำระค่าความเสียหาย
อนุทินยังพูดถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคอีสาน ที่อีกประมาณ 3 วัน น้ำจะไหลจากจังหวัดหนองคายไปที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งยืนยันว่า เรื่องการบรรเทาและเยียวยาไม่มีอะไรน่ากังวล แต่เรื่องการป้องกัน ภาระอยู่ที่ สทนช. เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ ปภ. ทำได้เพียงแค่บรรเทา เพราะงบป้องกันได้ และถูกตัดหมด ซึ่งขณะนี้กระทรวงมหาดไทยทำได้เพียงการเยียวยาและดูแล
