ใครจะไปคิดว่าจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในปี 1995 กับการผลิตอาหารทะเลอบแห้งแบบฟรีซดราย (Freeze Dry) เพื่อส่งออกต่างประเทศ วันนี้ บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด หรือ PFS จะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านการผลิตอาหารแปรรูปแบบแห้งแบบครบวงจร 

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา PFS ไม่เพียงพิสูจน์ฝีมือในฐานะผู้ผลิตอาหารแปรรูปแบบแห้งคุณภาพสูงเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกล มุ่งสู่การเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงทางอาหารของโลกอย่างยั่งยืน

ล่าสุด PFS จัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้ธีม SYNERGY OF SUCCESS ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ โดยฉายภาพความสำเร็จตลอด 30 ปีที่ผ่านมา พร้อมเผยทิศทางและกลยุทธ์สู่อนาคต

นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวโลโก้ใหม่ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน และการจัดเสวนาในหัวข้อ ‘Food Insecurity and the Next Chapter’ ชวนขบคิดถึงความท้าทายและโอกาสในการสร้างความมั่นคงทางอาหารในอนาคต

3 ทศวรรษแห่งการเติบโต

กว่า 30 ปีที่ผ่านมา PFS เติบโตด้วยความมุ่งมั่นและการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง จากโรงงานเล็กๆ ที่มีพนักงานเพียง 18 คนในปีแรก บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเริ่มต้นด้วยยอดขาย 17 ล้านบาทในปี 1995 เติบโตเป็น 397 ล้านบาทในปี 2003 ขยับขึ้นสู่ 1,332 ล้านบาทในปี 2010 และก้าวขึ้นสู่ 4,604 ล้านบาทในปี 2024

วรภาส มหัทธโนบล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด 

วรภาส มหัทธโนบล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ‘คุณภาพ’ คือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนบริษัทมาโดยตลอด ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในปี 1995 กับการใช้เทคโนโลยี Freeze Dry ผลิตอาหารทะเลส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ ก่อนจะขยายสู่เทคโนโลยี Spray Dry ในปี 1999 เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างครีมเทียม และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย

“ในปัจจุบันหากคุณเคยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศแล้วพบเนื้อสัตว์อบแห้ง มีโอกาสสูงที่ว่าผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นจะมาจาก PFS”

วรภาสเผยว่า อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ PFS คือการเป็นซัพพลายเออร์ให้กับบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่จากไทย ญี่ปุ่น จีน และสหรัฐอเมริกา ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการผลิตอาหารแห้งแบบครบวงจรที่ได้รับความไว้วางใจจากอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก

รุกตลาดอาหารสุขภาพ สู่การเติบโตที่ยั่งยืน

ภาณุ มหัทธโนบล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในการก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 PFS ตั้งเป้าการเติบโตยอดขายสู่ 7,000 ล้านบาทภายในปี 2030 ด้วย 4 กลยุทธ์ ได้แก่

• การขยายตลาด ผลักดันผลิตภัณฑ์คุณภาพสู่ตลาดโลกมากขึ้น
• การพัฒนาสินค้าในกลุ่ม Health & Well-being เพื่อตอบรับเทรนด์สุขภาพและความยั่งยืนที่กำลังเติบโต
• การเพิ่มกำลังการผลิตทั้ง Freeze Dry และ Spray Dry เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ
• การเปิดสายการผลิต Frozen ด้วยเทคโนโลยี Individual Quick Frozen (IQF) เพื่อขยายไลน์สินค้า เพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้มากขึ้น
• การจัดตั้ง R&D Technical Center วิจัยและพัฒนาสินค้ากลุ่มนวัตกรรมที่สอดรับกับเทรนด์ความยั่งยืน

ภาณุ มหัทธโนบล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด

โดยในปีนี้ PFS เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 กลุ่มหลัก เพื่อตอบโจทย์สุขภาพและไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ได้แก่

• Bite Me Yogurt Smoothie Freeze Dry 3 สูตร ประกอบด้วย สูตร Vitamin C, Vitamin E และ Fiber 
• Dreamy Fruit Tea with Stevia 5 รสชาติ ประกอบด้วย Apple, Yuzu, Peach, Mixed Berries และ Honey Lemon 
• Dreamy Natural Oat Milk Creamer ครีมเมอร์จากน้ำมันมะพร้าวและโปรตีนนมโอ๊ต

นอกจากนี้ PFS ยังเปิดตัวโลโก้ใหม่ ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์และพันธกิจในอนาคต

โลโก้ใหม่ของบริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด  

“โลโก้ใหม่ของ PFS จะไม่เพียงเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการเติบโตเท่านั้น แต่จะเป็นสัญญาใจของ PFS ต่อทุกๆ พันธมิตรธุรกิจที่ต้องการเป็นศูนย์รวมแบบครบวงจรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคไว้วางใจอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง” วรภาสกล่าว

บทบาทของนวัตกรรมอาหารเพื่อสร้างความยั่งยืน

ในโอกาสครบรอบ 30 ปีนี้ PFS ยังได้จัดงานเสวนาภายใต้หัวข้อ ‘Food Insecurity and the Next Chapter’ โดยเชิญ เชอรี่-เข็มอัปสร สิริสุขะ และ ผศ. ดร.วิษุวัต สงนวล หัวหน้าภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการปรับตัวของผู้ผลิตนวัตกรรมอาหาร ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหารตามธรรมชาติของมนุษย์ พร้อมเดินหน้าสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน

บรรยากาศงานเสวนา Food Insecurity and the Next Chapter

ผศ. ดร.วิษุวัต ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในปีที่ผ่านมาคือ เหตุการณ์ราคาโกโก้พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ทำให้สภาพอากาศแปรปรวน กระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นโกโก้ในแอฟริกา ส่งผลให้ผลผลิตลดลงเป็นอย่างมาก

“หากผู้ผลิตอาหารไม่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา Productivity ทางธรรมชาติก็จะค่อยๆ ลดลง และคุณภาพของวัตถุดิบจะเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ” ผศ. ดร.วิษุวัต กล่าว

เชอรี่-เข็มอัปสร สิริสุขะ และ ผศ. ดร.วิษุวัต สงนวล

ด้าน เชอรี่ เข็มอัปสร กล่าวถึงมุมมองเกี่ยวกับอาหารแปรรูป โดยชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่ช่วยถนอมอาหารโดยยังคงคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้ ไม่เพียงทำให้การใช้ชีวิตสะดวกขึ้น แต่ยังช่วยลดปัญหา Food Waste อีกด้วย 

“เราไม่จำเป็นต้องปฏิเสธเทคโนโลยีทั้งหมด หากเทคโนโลยีนั้นสามารถช่วยรักษาคุณภาพของอาหาร ลดของเสีย และทำให้การบริโภคมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

สำหรับแนวโน้มในอนาคต ผศ. ดร.วิษุวัต มองว่า  “เทคโนโลยีการถนอมอาหารจะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะเทคนิคฟรีซดราย (Freeze Dry) ที่ช่วยถนอมอาหารด้วยอุณหภูมิต่ำ รักษาทั้งเนื้อสัมผัสและสารอาหารไว้ได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้การนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบและผลิตอาหารแบบ Personalized Food จะช่วยลดขยะอาหารและเพิ่มประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมอาหารในอนาคต”

ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา PFS พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คุณภาพ นวัตกรรม และความยั่งยืน สามารถเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างมั่นคง จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่การเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมอาหารแห้งแบบครบวงจร PFS ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์สุขภาพผู้บริโภคควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงทางอาหารของโลก พร้อมก้าวสู่ทศวรรษที่ 4 อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน