×

ตำรวจให้ประกันตัว 2 ผู้ชุมนุมราษฎรหยุด APEC ที่เหลือแล้ว วงเงินคนละ 20,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไข

โดย THE STANDARD TEAM
19.11.2022
  • LOADING...
ราษฎรหยุด APEC

วันนี้ (19 พฤศจิกายน) ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ทุ่งสองห้อง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ ได้อนุญาตให้ประกันตัว บารมี ชัยรัตน์ อายุ 55 ปี และ เจกะพันธ์ พรหมมงคล อายุ 46 ปี ในชั้นสอบสวน วงเงิน 20,000 บาท โดยมี พล.ต.ต. อรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 (ผบก.น.2) พร้อมด้วย พ.ต.อ. มารุต สุดหนองบัว ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง ดำเนินการปล่อยตัวกรณีดังกล่าว ภายหลังผู้ต้องหาแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 215 ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และมาตรา 216 เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป แต่ไม่เลิก ซึ่งถูกจับรวมกับกลุ่มผู้ชุมนุมรายอื่นรวม 25 ราย นอกจากนี้ยังมีการเปิดบาดแผลที่ถูกทำร้ายบริเวณดังกล่าว 

 

บารมีเปิดเผยว่า พวกเรายืนยันว่าก่อนการชุมนุมมีการแจ้งว่าจะมีการชุมนุมดังกล่าวตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม บริเวณรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และมาแจ้งการชุมนุมบริเวณลานคนเมือง ทั้งสองแห่งได้รับการยืนยันว่าไม่ได้มีใครขัดขวางหรือห้ามแต่อย่างใด แต่ถึงไม่ได้รับการอนุญาตก็เป็นสิทธิของเราอยู่แล้ว 

 

ส่วนเรื่องทางคดีได้มีการยืนเงินสดประกันตัวคนละ 20,000 บาท โดยมีเงื่อนไขห้ามร่วมกิจกรรมและโฆษณาเชิญชวนทำกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งการชุมนุมเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว การตั้งเงื่อนไขไม่ชอบต่อรัฐธรรมนูญเป็นเงื่อนไขไม่ถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องรับฟัง ยืนยันว่าตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี หลังจากนี้จะมีการนัดการชุมนุมทางการเมืองอีกครั้ง ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ หากยอมเมื่อไรพี่น้องกลุ่มอื่นอาจถูกวิธีการเดียวกันใช้อาจเป็นมาตรฐานทำร้ายผู้ชุมนุมต่อไปในอนาคต  

 

ด้าน เลิศศักดิ์ ธรรมคงศักดิ์ อายุ 53 ปี คณะทำงานราษฎรหยุด APEC 2022 กล่าวว่า การชุมนุมดังกล่าวตลอด 3 วัน มีการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ชุมนุมสาธารณะ หลังประกาศยกเลิกการใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน โดยหลักการข้อกฎหมายดังกล่าวคือ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการชุมนุมสาธารณะ ไม่ว่าจะชุมนุมเพื่อร้องเรียนถึงความไม่เป็นธรรมต่างๆ เรามีการดำเนินการทำหนังสือแจ้งไป เพื่อให้ทราบว่าเราต้องการชุมนุมเพื่อให้ตำรวจและเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องต้องดูแล คุ้มครอง และอำนวยความสะดวกในการชุมนุมทั้งความปลอดภัยและด้านการจราจรตามหลักสากล แต่สิ่งที่ตำรวจทำตลอดทั้งวันที่ผ่านมาคือ มีการสกัดการชุมนุม ซึ่งกฎหมายการชุมนุมคือห้ามสกัดการชุมนุม หากจะสกัดการชุมนุมต้องร้องขอต่อศาล ตำรวจสกัดการชุมนุม 2-3 ด่าน แล้วจะมาบอกว่าห้ามใช้ถนนบริเวณใดบริเวณหนึ่งไม่ได้ แต่หากติดขัดอย่างไร มีความจำเป็นต้องใช้ สามารถแจ้งให้ทราบเพื่อแบ่งเวลากันได้ เพราะไม่มีถนนเส้นไหนในประเทศไทยห้ามชุมนุมสาธารณะ รวมถึงการใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนต้องร้องขอต่อศาลก่อนทุกรายการ จะบอกว่าการชุมนุมมีความไม่ปลอดภัยอะไรหลายอย่างสามารถโต้กลับมาได้ ทางเราก็โต้กลับได้เช่นกัน แต่เมื่อวานนี้ทั้งวันตำรวจดำเนินการผิดหลักการหลายอย่างเหมือนอยู่ในบรรยากาศการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตำรวจบอกว่าถนนเส้นนี้เป็นสถานที่ราชการ แต่ข้อเท็จจริงตามรัฐธรรมนูญ ถนนเส้นนี้เป็นสถานที่สาธารณะ รวมถึงมาบอกเราให้หยุดชุมนุมในเวลา 11.00 น. แต่ตามกฎหมายบอกว่าชุมนุมได้ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก ยามวิกาลชุมนุมได้แต่ห้ามเคลื่อนย้าย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุ ทั้งนี้ การสกัดกั้นทุกทางเป็นการสกัดกั้นโดยการใช้กระสุนยาง การเอาโล่และกระบองมาตีเรา ไม่ได้มีการร้องขอต่อศาลก่อน 

 

ส่วน ณัฐพร อาจหาญ อายุ 40 ปี กรรมการคณะกรรมการประสานงานองค์กรคณะกรรมการเอกชน (กป.อปช.) กล่าวว่า การชุมนุมดังกล่าวเราได้มีการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องตั้งแต่วันที่ 16-17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการแจ้งเพิ่มเติมว่าจะเคลื่อนขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทางเศรษฐกิจของการประชุม APEC หลายภาคของประเทศ แต่การปิดกั้นเส้นทางดังกล่าวเจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ปิดเส้นทาง หากมีหมายศาลต้องแจ้งให้ทราบ ทางพวกเราไม่เห็นการดำเนินการดังกล่าว ขณะที่มาถึงแยกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการใช้รถมาขวางและใช้รถควบคุมฝูงชนปิดเส้นทาง มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากพร้อมจะปะทะและพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงโดยไม่มีลำดับขั้นตอน มีการใช้โล่ดันทั้งที่มีชาวบ้านสมัชชาคนจน มีคนสูงอายุอยู่ด้านหลัง ไม่มีทั้งอาวุธและไม่มีอะไรที่สามารถตอบโต้ได้ทั้งที่ระหว่างนั้นกำลังพักกินข้าว 

 

“เราขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดการใช้การทุบตีด้วยกระบองดังกล่าว เพื่อป้องกันคนอื่นๆ แต่กลับถูกทุบเข้าที่ใบหน้าและถูกยิงด้วยกระสุนยาง มีน้องพายุโดนกระสุนยางเข้าที่ใบหน้าทั้งที่ควรยิงสกัดแค่แขนและขา ถือเป็นภาวะใช้ความรุนแรงที่ละเมิดความเป็นมนุษย์ของเราอย่างที่สุด โดยที่ไม่รู้ว่าเขาคิดว่าเราเป็นอะไร ไม่มีขั้นตอน วิ่งกรูกันเข้ามาและมีการรุมกระทืบรวมถึงนักข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่มีทางยอมได้อย่างเด็ดขาด สิ่งที่คุณทำกับพวกเราทั้งหมดมันเกินกว่ากฎหมาย โชคดีที่ได้สมัชชาคนจนจำนวนมากเข้ามายืนเป็นแนวป้องกันให้ทุกคนไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้ามา พายุ บุญโสภณ ที่โดนยิงเข้าที่เบ้าตานั้นพยายามบอกคนอื่นไม่ให้วิ่ง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายจากคนข้างหลัง แต่สิ่งที่เขาทำคือยิงและเล็งโดนตาของพายุจนต้องสูญเสียดวงตา ยืนยันว่า ทางพวกเราไม่มีทางยอมรับเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอน และจะฟ้องร้องให้ถึงที่สุด” ณัฐพรกล่าวทั้งน้ำตา

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising