วันนี้ (11 กันยายน) ที่ประชุมร่วมกันของสมาชิกรัฐสภา ครั้งที่ 5 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ ในการแถลงนโยบายของรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี
กรวีร์ ปริศนานันทกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคภูมิใจไทย อภิปรายใจความระบุว่า ขอแสดงความยินดีกับรัฐบาล หลังจากผ่านการเลือกตั้งมานานกว่า 3 เดือนในที่สุดก็สามารถตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ วันนี้เปรียบเหมือนการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ บนความท้าทายใหม่ มาพร้อมกับความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ของประชาชนทั้งประเทศ แต่ตนดีใจที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์
รัฐบาลได้หยิบเอานโยบายที่ได้ทำไว้ตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนมาสานต่อ มาปรับปรุงพัฒนา และบรรจุเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ส่วนตัวดีใจที่ได้เห็นนโยบายของเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระเบียงเศรษฐกิจทางภาคใต้ ที่จะพัฒนายกระดับให้เป็นศูนย์กลางของการค้า
นอกจากนี้ตนยังดีใจที่ได้เห็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค แม้ว่ารัฐบาลที่เริ่มต้นจะเป็นรัฐบาลไทยรักไทยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน รัฐบาลชุดที่ผ่านมาโดย อนุทิน ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ยกระดับเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ และรัฐบาลชุดนี้จะยกระดับขึ้นไป
อีกทั้งต้องขอบคุณรัฐบาลที่เห็นประโยชน์ของกัญชานำมาเป็นนโยบายกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ สิ่งที่เราเห็นตรงกันคือการควบคุมที่จะป้องกันไม่ให้ใช้กัญชาอย่างผิดประเภทหรือใช้กัญชาเพื่อมอมเมาให้เกิดโทษกับลูกหลานของเรา
กรวีร์กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ตนอยากจะเน้นย้ำเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องเร่งด่วนเรื่องของการพักหนี้ เราเห็นตรงกันกับพรรคภูมิใจไทยที่จะมีการเสนอการพักหนี้ 3 ปีหยุดต้นปลอดดอกเบี้ย เพราะถึงเวลาแล้วที่จะต้องช่วยแบ่งเบาภาระเกษตรกรที่แบกภาระหนี้สินไว้
สิ่งที่ตนอยากฝากไว้ 2 ประการ นอกจากกลุ่มเกษตรกรแล้วยังมีกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มคนใช้แรงงาน กลุ่มข้าราชการครู ธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบไม่ได้แตกต่างกัน อีกส่วนหนึ่งคือเราต้องไม่ลืมว่าการพักหนี้เฉยๆ ไม่ได้ทำให้หนี้หมดไป แต่ต้องหาวิธีการเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรและกลุ่มต่างๆ เพื่อให้เขามีปัญญาที่จะมาปลดภาระใช้หนี้ให้ได้
ทั้งนี้การสานต่อนโยบายที่มีประโยชน์จากรัฐบาลที่ผ่านมาเป็นการตอกย้ำให้เห็นความตั้งใจของรัฐบาลชุดนี้ ที่จะก้าวเดินต่อไปในอนาคตข้างหน้า การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่จำเป็นต้องไปรื้อ หรือล้มล้าง หรือจะไปทำลายล้างของเดิมที่มีอยู่ แต่คือการสานต่อ หยิบนำเอาสิ่งที่ดีมาทำให้เกิดประโยชน์มากขึ้น สมบูรณ์แบบมากขึ้น
พรรคภูมิใจไทยพร้อมที่จะให้การสนับสนุนและทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อความสำเร็จของรัฐบาล เพราะเราเชื่อว่าทุกความสำเร็จของรัฐบาลเป็นความสำเร็จร่วมกันของรัฐสภาแห่งนี้ และเป็นความสำเร็จของพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ
ขณะที่ อลงกต มณีกาศ สส. ภูมิใจไทย ร่วมอภิปราย ระบุว่า ชื่นชมในการแถลงนโยบายของนายกฯ ในประเด็นที่จะยกระดับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับความสะดวกมากขึ้น
โครงการดังกล่าวเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2545 ขณะนั้นตนเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลในจังหวัดนครพนม โครงการดังกล่าวเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน เพราะมีประโยชน์กับคนไทยทั้งประเทศ แต่ในยุคแรกของการใช้บัตรทอง 30 บาท ยังมีปัญหาอยู่ เช่น การที่ผู้ป่วยถูกจำกัดสิทธิเรื่องการใช้บัตร
รัฐบาลชุดที่ผ่านมาอนุทินได้ปรับเพิ่มสิทธิการใช้บัตรทองให้ครอบคลุมมากขึ้น ตนคิดว่าการยกระดับการใช้บัตรทองในสถานบริการต่างๆ คนไข้เพิ่มขึ้น ความแออัดก็จะย่อมเพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันบุคลากรทางการแพทย์ก็จะต้องแบกรับภาระมากยิ่งขึ้น เรื่องนี้ตนอยากจะเรียนไปถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่าท่านจะต้องสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์เหล่านี้
อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นบุคคลที่จะช่วยสร้างเสริมสุขภาพในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี แต่ทุกวันนี้ค่าตอบแทน อสม. ยังอยู่ที่ 1,000 บาทต่อเดือน ถูกหักต่างๆ บางเดือนเหลือหลักร้อย จึงอยากกราบเรียนไปถึงรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขช่วยเพิ่มอัตราเงินให้ อสม. ให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 3,000 บาท เพราะค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพสูงมากยิ่งขึ้น
อลงกตกล่าวทิ้งท้ายว่า ตนอยากขอบคุณ สส. คณะที่ผ่านมาที่ให้ความสำคัญเรื่องของกัญชา ซึ่งถือว่าเป็นพืชที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ บางท่านอาจจะถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจ และถ้าจากนี้มีกฎหมายที่เป็นที่ยอมรับของสังคมเรื่องของกัญชาทางการแพทย์ก็จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้ จะได้เป็นการยกระดับไม่ให้กัญชากลายเป็นธุรกิจสีเทาอีกต่อไป
