×

เปแอสเช vs. แมนฯ ซิตี้: ‘El Cashico’ สงครามลูกหนังของคนมีเงิน ที่ไม่ได้สำคัญแค่เกมในสนาม

28.04.2021
  • LOADING...
เปแอสเช vs. แมนฯ ซิตี้: ‘El Cashico’ สงครามลูกหนังของคนมีเงิน ที่ไม่ได้สำคัญแค่เกมในสนาม

‘เกมเศรษฐี’ ใครหลายคนนิยามการพบกันของ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นี้ไว้แบบไทยๆ ได้เข้าท่า ขณะที่เมืองนอกเมืองนาเรียกขานให้ดูอินเตอร์ขึ้นอีกนิดว่า ‘El Cashico’ ล้อจากคำว่า El Clasico แต่ก็สื่อความหมายไม่ต่างกัน

 

นี่คือการพบกันของสองทีมที่ร่ำรวยเงินทองมากที่สุดในโลก สองทีมที่มีพลังอำนาจทางการเงินอันแข็งแกร่งจากตะวันออกกลางหนุนหลัง และเป็นสองทีมที่มีความฝันร่วมกันคือการผงาดเป็นทีมอันดับ 1 ของยุโรป (ซึ่งก็หมายถึงการเป็นทีมอันดับ 1 ของโลกด้วยอย่างไม่เป็นทางการ) และยังทำไม่สำเร็จเหมือนกัน

 

การพบกันครั้งนี้มีเดิมพันตั๋วนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกจึงเป็นเป็นเกมที่มีความหมายอย่างมาก แน่นอนว่านี่คือการพบกันของสองทีมที่เต็มไปด้วยผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์มากมาย

 

ปารีส แซงต์ แชร์กแมง หรือ ‘เปแอสเช’ คือทีมที่มีแนวรุกแพรวพราวจากความสามารถอันเอกอุของ เนย์มาร์ และ คีเลียน เอ็มบัปเป้ คู่ศูนย์หน้าที่มีค่าตัวแพงที่สุดของโลก พวกเขายังมียอดขุนพลรายล้อมอย่าง อังเคล ดิ มาเรีย, มาร์โก แวร์รัตติ หรือมาร์ควินญอส ตัวรับที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง

 

อย่างไรก็ดีคู่ปรับของพวกเขาอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้นั้นเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของยุโรปตลอดหลายปีที่ผ่านมา และดูเหมือนพวกเขาจะพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยแนวทางการเล่นที่แตกต่างจากเก่า ตรงนี้คือจุดที่ทำให้เกมนี้น่าติดตาม โดยสไตล์แล้วเปแอสเช เป็นทีมที่สะกดตัว R ไม่เป็น เพราะเล่นแบบไม่มีเกียร์ถอย พวกเขาพร้อมที่จะเดินหน้าบุกใส่ทุกทีมแบบไม่บันยะบันยัง แต่ภายใต้การนำของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน ยอดโค้ชที่มีการวางหมากละเอียดที่สุดคนหนึ่งของวงการ ทำให้เปแอสเชไม่ได้ถึงกับเป็นทีมที่เล่นเกมรับไม่เป็นเอาเสียเลย

 

ระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมากุนซือชาวอาร์เจนไตน์อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มากก็จริง แต่อย่างน้อยการที่พวกเขาผ่านด่านหินอย่างบาเยิร์น มิวนิกมาได้ในรอบที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการ ‘คิดบัญชี’ จากความพ่ายแพ้ในนัดชิงที่ลิสบอนเมื่อปีกลาย แสดงให้เห็นถึงอะไรหลายอย่างในทีมนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของจิตใจ (Mentality) ที่ดูดีและพร้อมกว่าหลายปีที่ผ่านมามาก

 

คีย์แมนสำหรับพวกเขาย่อมหนีไม่พ้นคู่ของเนย์มาร์และเอ็มบัปเป้ ซึ่งพรสวรรค์ในการเล่นเหนือชั้นกว่าผู้เล่นระดับสตาร์ทั่วไปมาก และพร้อมที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในทุกวินาทีที่อยู่ในสนาม

 

ในวัย 29 ปี เนย์มาร์เดินทางมาถึงจุดที่เขาไต่ถึงระดับสูงสุดในการเล่นแล้ว ซึ่งเห็นได้ชัดในเกมกับบาเยิร์น มิวนิกทั้ง 2 นัด ว่าเมื่อถึงคราวที่ต้องแสดงตัว เนย์มาร์ไม่เคยหลบหลังใครและพร้อมจะนำหน้าเพื่อนร่วมทีมเสมอ

 

ถึงจะมีปัญหาอาการบาดเจ็บรังควาญทุกฤดูกาลไม่เว้นแม้แต่ในฤดูกาลนี้ (จนถูกแซวว่าจะเจ็บในช่วงใกล้วันเกิดน้องสาว!) แต่ในฤดูกาลนี้เขาก็ยังคงทำผลงานได้โดดเด่นโดยทำไปแล้ว 14 ประตูกับอีก 9 แอสซิสต์ จากการลงสนามทั้งหมดแค่ 24 นัด หรือพูดง่ายๆ คือทุกนัดที่ลงสนามเขาจะมีส่วนกับประตูของทีมอย่างน้อยเกมละ 1 ลูก

 

รายการที่เนย์มาร์เล่นได้ร้อนแรงที่สุดคือแชมเปียนส์ลีก ซึ่งเป็นเหมือนเวทีใหญ่ที่กระตุ้นให้เขาต้องแสดงศักยภาพออกมาอย่างสูงสุด โดย 7 นัดที่ลงสนามไปในฤดูกาลนี้ทำได้ถึง 6 ประตูกับอีก 3 แอสซิสต์ ไม่นับการสร้างสรรค์โอกาสอีกมากมาย รวมถึงลูกเล่นลีลาที่เหมือนมีมนต์สะกดที่ปลายเท้า ซึ่งเป็นสิ่งที่หาชมได้ยาก

 

ขณะที่ในฤดูกาลนี้เอ็มบัปเป้เองยกระดับขึ้นมาเป็น ‘ผู้นำ’ ของทีมเช่นกันในยามที่เนย์มาร์ไม่อยู่ และทำได้อย่างยอดเยี่ยมโดยทำไป 33 ประตูจากการเล่น 38 นัด และหากเขาผ่านความฟิตลงสนามได้ในคืนนี้หลังได้รับบาดเจ็บในเกมลีกเอิงนัดล่าสุดได้ ก็จะเป็นข่าวดีสำหรับเปแอสเชเพราะความหวังสูงสุดอยู่กับสองคนนี้

 

สำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาไม่ได้มีแนวรุกบรรเจิดในระดับที่เทียบเท่า ในทางตรงกันข้ามฤดูกาลนี้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการเล่นพอสมควร โดยลดการพึ่งพานักเตะที่เป็นกองหน้าธรรมชาติลงไปมาก เนื่องจากในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก เซร์คิโอ อเกวโร บาดเจ็บต่อเนื่อง รวมถึงติดโควิด-19 ขณะที่ กาเบรียล เฆซุส เองก็ไม่อาจฝากความหวังได้

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา หันมาให้ความสำคัญกับตัวรุกอย่าง รา​ฮีม สเตอร์ลิง และ ริยาด มาห์เรซ สองตัวริมเส้นที่ดีที่สุดของทีม และอีกสองนักเตะตัวเดินเกมที่มีความสามารถในการทำประตูอย่าง อิลคาย กุนโดกัน และ ฟิล โฟเดน มากขึ้น ไม่นับคนที่เป็นเหมือนตัวคุมการไหลของเวลาอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ที่เป็นตัวพิเศษเล่นตรงไหนก็ได้ในสนาม โผล่ตรงไหนก็ไม่เสียการคอนโทรล

 

ด้วยระบบนี้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจจะดู ‘ทื่อ’ บ้างในหลายนัด เพราะอย่างไรเสียประสิทธิภาพและความสามารถในการล่าตาข่ายของนักเตะเหล่านี้ไม่ดีเท่ากองหน้าธรรมชาติ แต่สิ่งที่ได้ทดแทนมาคือระบบที่มีความสมดุลและยืดหยุ่นสูงมาก และทำให้พวกเขาเก็บผลงานได้ต่อเนื่อง (ล่าสุดคือการคว้าแชมป์คาราบาวคัพสมัยที่ 4 ติดต่อกัน)

 

สิ่งที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พัฒนาขึ้นอีกมากคือเรื่องของเกมรับ หลังจากที่ได้ รูเบน ดิอาส มาช่วยแก้ไขปัญหาในแดนหลัง ซึ่งได้โบนัสสองต่อเมื่อสามารถจับคู่กับ จอห์น สโตนส์ ที่เคยเกือบหมดอนาคตในทีมจนกลายเป็นคู่ปราการหลังที่ดีที่สุดของอังกฤษ

 

ดิอาสมีอิทธิพลต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ต่างจากที่ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มีต่อลิเวอร์พูล และยังทำให้พวกเขาได้กองกลางที่ดีที่สุดอย่าง แฟร์นันดินโญ กลับไปยืนประจำการในตำแหน่งถนัดด้วย เป็นความลงตัวที่เข้ากันได้อย่างเหลือเชื่อ

 

คำถามที่น่าสนใจคือแนวรับของแมนเชสเตอร์ ซิตี้จะหยุดเนย์มาร์และเอ็มบัปเป้ไหวหรือไม่



ถ้าทำได้โอกาสที่พวกเขาจะได้ผลการแข่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะชนะหรือเสมอแบบมีสกอร์ก็อาจเป็นไปได้ เพราะเปแอสเชไม่ได้มีขุนพลที่ยอดเยี่ยมทั้ง 11 ตำแหน่งบนหน้ากระดาษเหมือนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ถ้าหยุดไม่ไหวสถานการณ์ในเกมที่ 2 อาจจะแก้ไขได้ยาก

 

ทั้งนี้ ‘แบ็ก’ ของทั้งสองสโมสรเองก็ต้องการชัยชนะไม่น้อยไปกว่าโค้ชและขุนพลนักเตะในสนาม เนื่องจากเป็นเรื่อง ‘การแข่งขัน’ กันของอาบูดาบี (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์-แมนฯ ซิตี้) และโดฮา (กาตาร์-เปแอสเช) ที่ชิงเหลี่ยมกันในสนามการเมืองผ่านเกมฟุตบอล

 

ชัยชนะและความสำเร็จในสนามฟุตบอลคือชัยชนะของสนามการเมืองด้วย

 

El Cashico จึงไม่ได้เป็นแค่เกมฟุตบอลของคนมีเงินธรรมดา แต่เป็นเกมเศรษฐีในโลกแห่งความเป็นจริง

 

ผู้ชนะจะเป็นคนที่ได้ทั้งหมด

 

ส่วนแฟนบอลถ้าไม่คิดอะไรมาก ถือเป็นกำไรทางเกมลูกหนังที่จะได้ดูฟุตบอลสนุกๆ



พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising