ในโลกของการทำงาน ทุกคนล้วนปรารถนาความก้าวหน้าและการเติบโตในสายอาชีพ หลายคนทุ่มเทกับการทำงานอย่างหนัก พัฒนาทักษะ และสร้างผลงานให้โดดเด่น เพื่อพิสูจน์ความสามารถและคว้าโอกาสเลื่อนตำแหน่ง
แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่ามีบางคนที่ดูเหมือนจะได้รับความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ผลงานไม่ได้โดดเด่นไปกว่าใคร นี่คือปรากฏการณ์ของ ‘ลูกรัก’ หรือ Favoritism ในที่ทำงาน ที่สร้างความรู้สึกไม่เป็นธรรมให้กับพนักงานคนอื่นๆ ในองค์กร
จากการศึกษาวิจัยของ Harvard Business Review พบว่าผู้ที่ได้รับความชื่นชอบเป็นพิเศษจากหัวหน้างานมีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งมากกว่าคนอื่นๆ ถึง 23% โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับผลงานหรือความสามารถ
สอดคล้องกับการศึกษาของ Georgetown University ที่พบว่าเพียงแค่ 1 ใน 3 ของพนักงานระดับบริหารเท่านั้นที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากผลการปฏิบัติงานจริง ในขณะที่ส่วนใหญ่กว่า 60% เลื่อนขึ้นมาจากปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถ
ปัญหา Favoritism ในองค์กรมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ได้แก่
1. ความใกล้ชิดและความสัมพันธ์ส่วนตัว
หัวหน้ามักจะให้ความสำคัญและไว้วางใจลูกน้องที่มีความสนิทสนมเป็นพิเศษ เกิดเป็นกลุ่มพวกพ้อง จึงมักมอบหมายงานสำคัญ ให้การสนับสนุน และเปิดโอกาสให้มากกว่าคนอื่นๆ โดยไม่ได้พิจารณาถึงความสามารถที่แท้จริง
2. ภาพลักษณ์ภายนอก
ลูกน้องบางคนอาจมีบุคลิกภาพเด่น มีเสน่ห์ วางตัวเก่ง เอาใจเก่ง จึงสามารถสร้างความประทับใจให้กับหัวหน้าได้ง่าย ทำให้ได้รับความไว้วางใจและมอบหมายงานสำคัญ แม้ว่ากระบวนการทำงานหรือผลลัพธ์ที่ได้จะธรรมดาก็ตาม
3. ขาดระบบการประเมินผลงานที่เป็นมาตรฐาน
องค์กรจำนวนมากยังไม่มีเกณฑ์และกระบวนการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ชัดเจนและเป็นระบบ ทำให้การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง มักตกอยู่ภายใต้ดุลพินิจของหัวหน้างานเพียงคนเดียว จึงเปิดโอกาสให้เกิดอคติและการลำเอียงได้ง่าย
4. การวิ่งเต้นเส้นสาย
ลูกรักบางคนอาจใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว เครือญาติ หรือการเป็นคนวงในของผู้บริหารระดับสูง เพื่อแทรกแซงกระบวนการสรรหาและแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ทำให้ได้เลื่อนขั้นอย่างก้าวกระโดดแม้จะยังไม่มีความพร้อมและคุณสมบัติจริง
ปัญหา Favoritism ก่อให้เกิดผลเสียต่อองค์กรอย่างมหาศาล ไม่เพียงแต่ทำลายแรงจูงใจของพนักงานคนอื่นๆ ที่ทำงานอย่างเต็มความสามารถแล้ว ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม เพราะคนที่ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่สำคัญอาจไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุด ตลอดจนบั่นทอนวัฒนธรรมและบรรยากาศการทำงานที่ดี
จากการศึกษาของ Michigan State University พบว่าองค์กรที่มีปัญหา Favoritism อย่างรุนแรง จะมีอัตราการลาออกของพนักงานสูงขึ้นถึง 15% เพราะพนักงานรู้สึกไม่มีความหวัง ขาดความเชื่อมั่นในความยุติธรรม และไม่อยากทำงานภายใต้การปกครองแบบเล่นพรรคเล่นพวก
ดังนั้นเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นภายในองค์กร จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกองค์กรจะต้องมีระบบการบริหารงานบุคคลที่โปร่งใส มีมาตรฐาน วางเกณฑ์การประเมินผลงานที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม และมีคณะกรรมการที่เป็นกลางคอยตรวจสอบกระบวนการ
ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี วางตัวอย่างเหมาะสม ให้ความเป็นธรรม และมอบโอกาสแก่ทุกคนเท่าเทียมกัน เพื่อให้พนักงานทุกระดับได้พัฒนาความสามารถอย่างเต็มศักยภาพ และเติบโตไปพร้อมๆ กันกับองค์กรอย่างยั่งยืน
อ้างอิง:
- https://hbr.org/2019/09/research-favoritism-is-more-common-than-you-think
- https://www.sciencedaily.com/releases/2011/08/110801171716.htm
- https://www.forbes.com/sites/pragyaagarwaleurope/2018/12/17/how-to-tackle-favoritism-in-the-workplace
บทความที่เกี่ยวข้อง:
- Gen Z ราว 1 ใน 3 รู้สึก ‘กังวล’ ว่าตัวเองอาจพึ่ง AI มากไป
- ลาออก ไม่ใช่หนี! บอกลาแบบมืออาชีพด้วย 5 เรื่องสำคัญที่ควรพูดใน Exit Interview
- เทรนด์ Work from Anywhere มาแรง! 50% ของคนอเมริกันยอมลดเงินเดือน…