×

วิกฤตนิวเคลียร์-AI-โลกรวน ทำนาฬิกาวันสิ้นโลกอยู่ใกล้เส้นตายมากสุดในประวัติศาสตร์

24.01.2024
  • LOADING...

วานนี้ (23 มกราคม) กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ปรมาณูออกแถลงการณ์ว่า พวกเขายังคงระดับของเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลก (Doomsday Clock) ไว้ในจุดที่เข้าใกล้เส้นตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยสาเหตุหลักนั้นมาจากความเสี่ยงด้านนิวเคลียร์ในหลายสมรภูมิรบ รวมถึงสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และสงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ประกอบกับสถานการณ์โลกรวนที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ และความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผลักดันให้โลกเข้าใกล้เขตแดนของหายนะมากขึ้น

รู้จักนาฬิกาวันสิ้นโลก

 

นาฬิกาวันสิ้นโลกเป็นสัญลักษณ์ที่สร้างขึ้นโดยสมาคม Bulletin of the Atomic Scientists เมื่อปี 1947 อันเป็นช่วงที่บรรยากาศโลกคุกรุ่นด้วยสงครามเย็น เพื่อหวังใช้เป็นเครื่องมือสะท้อนผลการกระทำของมวลมนุษยชาติที่ก่อให้เกิดผลพวงอันเลวร้ายต่อโลก และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อย้ำเตือนมนุษย์ทุกคนว่า ‘วันโลกาวินาศ’ อยู่ใกล้ตัวเรามากแค่ไหน

 

สมาคมฯ ใช้นาฬิกาวันสิ้นโลกนี้เพื่อส่งสัญญาณเตือนอันตราย แต่ก็เน้นย้ำว่านาฬิกาวันสิ้นโลกไม่ได้ทำหน้าที่ทำนายอนาคตแต่อย่างใด แต่ใช้สำหรับการวิเคราะห์เหตุการณ์ระหว่างประเทศ รวมถึงแนวโน้มและความพยายามของรัฐต่างๆ เพื่อหาวิถีทางในการบรรเทาเหตุการณ์เลวร้ายเท่านั้น

สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร

 

สำหรับปี 2024 นี้ สมาคมฯ ตั้งเข็มนาฬิกาไว้ที่เหลือ 90 วินาทีก่อนจะถึงเวลาเที่ยงคืน อันเป็นเส้นตายตามทฤษฎี ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อปี 2023 และเป็นระดับที่เข้าใกล้เวลาเที่ยงคืนมากสุดเป็นประวัติการณ์

 

เรเชล บรอนสัน ประธานและซีอีโอของสมาคมฯ เปิดเผยกับสำนักข่าว Reuters ว่า สำหรับปี 2024 พวกเขาเล็งเห็นความเสี่ยงด้านนิวเคลียร์ เนื่องจากปัจจุบันโลกมีจุดวาบไฟอันเป็นพื้นที่ปะทะของกลุ่มหรือประเทศต่างๆ

 

ขณะเดียวกัน ภาวะโลกรวนก็ได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวง ปี 2023 ที่ผ่านมานั้นเป็นปีที่โลกร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ สลับกับภาพภัยพิบัติทางธรรมชาติแสนเลวร้ายที่โหมกระหน่ำตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมใหญ่หรือไฟป่า ส่งผลให้ผู้คนและสัตว์น้อยใหญ่ต่างล้มตาย ขณะที่มีประชากรโลกอีกหลายล้านได้รับผลกระทบ

 

ส่วนเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาพลิกโฉมการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เช่น AI หรือเทคโนโลยีชีวภาพ ก็พัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็วโดยขาดนโยบายป้องกันที่เหมาะสม

 

บรอนสันย้ำด้วยว่า การที่ทางสมาคมฯ ไม่ได้ขยับเข็มให้เข้าใกล้เที่ยงคืนมากกว่าระดับของปี 2023 ไม่ได้แปลว่าโลกเรามีเสถียรภาพมากขึ้นแต่อย่างใด

สถานการณ์นิวเคลียร์น่ากังวล

 

ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก เราได้เห็นชาติใหญ่ๆ อย่างจีน รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ที่ทุ่มทั้งเงินละสรรพกำลังมหาศาลในการขยายหรือพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์ของตนเอง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะมาจากความไม่ตั้งใจหรือเกิดการคำนวณที่ผิดพลาดก็ตาม

 

ขณะสงครามยูเครนที่ยืดเยื้อมากว่า 2 ปีนั้น ก็ไม่อาจตัดทิ้งความเป็นไปได้ที่ว่ารัสเซียอาจตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์เข้าจริงๆ ในสักวันหนึ่ง

 

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ได้ประกาศระงับการเข้าร่วมสนธิสัญญา New START ซึ่งเป็นข้อตกลงจำกัดหัวรบนิวเคลียร์ที่สหรัฐฯ และรัสเซียสามารถนำมาประจำการได้

 

โดยภายใต้สนธิสัญญานี้ รัสเซียและสหรัฐฯ ตกลงกันว่าแต่ละฝ่ายจะมีหัวรบประจำการที่พร้อมใช้งานไม่เกิน 1,550 หัวรบ ซึ่งเป็นการจำกัดหัวรบนิวเคลียร์ให้อยู่ในระดับที่ถือว่าต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ และจำกัดปริมาณเครื่องบินทิ้งระเบิดให้อยู่ที่ไม่เกิน 700 ลำ และขีปนาวุธพิสัยไกลที่ไม่เกิน 700 ลูก โดยในแต่ละปีทั้งสองฝ่ายสามารถตรวจสอบคลังอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์ของอีกฝ่ายได้สูงสุด 18 ครั้งด้วยกัน ซึ่งในเวลานั้นเพนตากอนมองว่าหากสนธิสัญญาได้รับการต่ออายุไปเรื่อยๆ ชาวอเมริกันจะมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ทั้งสองชาติเป็นปรปักษ์ต่อกัน

 

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายวิเคราะห์ว่า หากสนธิสัญญาสิ้นสุดลงโดยไม่มีการต่ออายุ อาจนำไปสู่การแข่งขันผลิตอาวุธทางยุทธศาสตร์ ทั้งจำนวนหัวรบนิวเคลียร์และระบบยิงขีปนาวุธที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย

 

ปัจจุบันรัสเซียและสหรัฐฯ ครอบครองหัวรบนิวเคลียร์รวมกันคิดเป็นสัดส่วนราว 90% ของจำนวนทั้งหมดในโลก หรือมากพอที่จะทำลายล้างโลกนี้ได้

 

ภาพ: HANDOUT / Hastings Group Media / AFP

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising