แพลตฟอร์มสตรีมมิงคอนเทนต์ระดับโลกอย่าง Netflix ได้เปิดเผยผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา (กรกฎาคมถึงกันยายน) โดยพบว่าบริษัทมีรายรับรวมที่ 6,436 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 201,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว 22.7% โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 24,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 18.8%
ถึงอย่างนั้นก็ดี ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ แม้รายได้และกำไรสุทธิของบริษัทจะอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตแบบปีต่อปีอย่างต่อเนื่อง แต่ยอดสมาชิก Netflix รายใหม่ๆ กลับไม่เพิ่มขึ้นตามการคาดการณ์ของบริษัทก่อนหน้านี้ ซึ่งในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา Netflix มีผู้ใช้งานใหม่เพิ่มที่ 2.2 ล้านราย ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2.5 ล้านราย
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 2 ไตรมาสก่อนหน้าในปีนี้ (Q1 & Q2/20) ซึ่งเดิมที Netlfix เคยประมาณการเอาไว้ว่าจะมีผู้ใช้งานรายใหม่เพิ่มขึ้นที่ 7 ล้านราย และ 7.5 ล้านรายตามลำดับ แต่เมื่อถึงเวลาจริง พวกเขากลับมีสมาชิกผู้ใช้งานใหม่เพิ่มขึ้นมากถึงกว่า 15.8 ล้านราย และ 10.1 ล้านรายตามลำดับ จึงอาจจะตีความได้ว่าเมื่อรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกเริ่มผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ตามแต่ละเฟส การคลายล็อกจึงส่งผลอย่างมีนัยสำคัญพอสมควรกับการเพิ่มขึ้นลดลงของยอดสมาชิกใหม่ Netflix
เมื่อลองจำแนกข้อมูลรายละเอียดก็จะพบว่า ‘เอเชีย’ (APAC) เป็นตลาดที่กำลังอยู่ในช่วงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมากกว่า 46% ของสมาชิกผู้ใช้งานใหม่ Netflix ในช่วงไตรมาส 3 ล้วนแล้วแต่มาจากตลาดในภูมิภาคนี้ทั้งสิ้น ทั้งยังมีอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้มากกว่า 66% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
“เรารู้สึกดีกับกระบวนการการเติบโตที่เกิดขึ้นกับตลาดในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเราประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการเจาะตลาดในเกาหลีใต้และญี่ปุ่นซึ่งมีอัตราการเติบโตเป็นเลขสองหลัก อย่างไรก็ดี พวกเรายังมีงานอีกมากที่ต้องทำ และกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อขยายความสำเร็จนี้ไปสู่ตลาดในประเทศอินเดียและประเทศอื่นๆ” Netflix กล่าวผ่านแถลงการณ์
ในเชิงการผลิตคอนเทนต์ Netflix ระบุว่า คอนเทนต์ของเกาหลีใต้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งในกลุ่มผู้ใช้งานตลาด APAC และประเทศอื่นๆ รวมถึงคอนเทนต์ในรูปแบบ ‘การ์ตูนแอนิเมะ’ ซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วโลก
นอกจากนี้จากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มมีแนวโน้มคงที่ ส่งผลให้กองถ่ายทำภาพยนตร์ ซีรีส์ และออริจินัลคอนเทนต์จำนวนมากของ Netflix เช่น Stranger Things ซีซัน 4 และ The Witcher ซีซัน 2 เริ่มกลับมาเดินเครื่องเปิดกล้องถ่ายทำกันต่อแล้ว โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้พวกเขาจะสามารถปิดกองการถ่ายทำออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเองได้มากถึง 150 เรื่องเลยทีเดียว
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการขับเคี่ยวต่อสู้กันระหว่าง Netflix กับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสตรีมมิงคอนเทนต์เจ้าอื่นๆ ในตลาด โดยเฉพาะ HBO Max, Disney+ และ Peacock ที่เริ่มได้รับกระแสความสนใจจากผู้ใช้งานมากขึ้น ซึ่ง Netflix ยืนยันว่าพวกเขาจะโฟกัสในเกมการให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริการให้ดี รวดเร็วทันใจให้ได้มาที่สุด เพื่อที่จะเป็นตัวเลือกด้านสื่อความบันเทิงออนไลน์ของผู้ใช้งาน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: