×

สธ. เผย ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนจัดการ ‘โอมิครอน BA.2’ ได้ดีกว่า BA.1 แต่ต้องฉีดเข็มกระตุ้นจึงจะมีภูมิคุ้มกันเพียงพอ

โดย THE STANDARD TEAM
11.04.2022
  • LOADING...
วัคซีนโควิด

วันนี้ (11 เมษายน) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยถึงประเด็นภูมิคุ้มกันต่อไวรัสจากโรคโควิด สายพันธุ์ย่อย BA.2 ระบุว่า ขณะนี้การระบาดของโรคโควิดในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ถึง 95.9% คาดว่าอีก 1-2 สัปดาห์จะมาแทนที่การระบาดของสายพันธุ์ BA.1 เป็น 100% เนื่องจาก BA.2 ความสามารถในการแพร่รวดเร็วกว่า 

 

ส่วนการฉีดวัคซีนโควิดในประเทศไทย ขณะนี้ฉีดเข็มกระตุ้นไปแล้ว 35-36% แต่เนื่องจากเชื้อโควิดมีการกลายพันธุ์ต่อเนื่อง ภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนอาจมีผลต่อสายพันธุ์ต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้ศึกษาผลของภูมิคุ้มกันที่มีต่อไวรัสจากโรคโควิดจริงด้วยวิธี Plaque Reduction Neutralization Test (PRNT) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐาน ต้องทดสอบภายในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 โดยนำซีรั่มจากเลือดที่มีภูมิคุ้มกันของผู้รับวัคซีนโควิดแล้ว 2 สัปดาห์ มาสู้กับไวรัส BA.2 ที่เพาะเลี้ยงไว้ และเจือจางซีรั่มในระดับเท่าตัว เพื่อหาจุดที่ไวรัสถูกทำลาย 50% ด้วยแอนติบอดีในซีรั่ม หรือ PRNT50 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 7-8 วัน จึงทราบผล

 

ทั้งนี้ จากการตรวจระดับภูมิคุ้มกันที่มีผลต่อไวรัส ทั้งกรณีได้รับวัคซีน 2 เข็ม และ 3 เข็ม พบว่า วัคซีนทุกสูตรให้ระดับภูมิคุ้มกันที่ต่อสู้กับไวรัสโอมิครอน BA.2 ได้มากกว่า BA.1 ดังนั้นข้อกังวลว่าสายพันธุ์ย่อย BA.2 จะหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้มากกว่าจึงไม่น่าเป็นจริง 

 

อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีน 2 เข็ม แม้จะเป็นช่วง 2 สัปดาห์หลังฉีด พบว่า ภูมิคุ้มกันต่อ BA.2 ไม่ได้สูงมากนัก ดังนั้นถ้าฉีด 2 เข็มมาแล้วหลายเดือน ภูมิคุ้มกันจะยิ่งน้อยลง แต่เมื่อฉีดกระตุ้นเข็ม 3 พบว่า ภูมิคุ้มกันขึ้นในระดับสูงมากต่อไวรัสโอมิครอน BA.2 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงขอแนะนำให้ฉีดเข็มกระตุ้น (Booster Dose) โดยเร็วในคนที่ได้รับวัคซีนเพียง 2 เข็ม

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising