เมื่อหลายๆ ธุรกิจออกมาเคลื่อนไหวประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ ‘McDonald’s’ เชนร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดรายใหญ่ เตรียมปรับขึ้นค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ครั้งแรกในรอบ 30 ปี โดยจะเพิ่มขึ้นเป็น 5% มีผลวันที่ 1 มกราคม 2024
สำนักข่าว CNBC ระบุว่า โครงสร้างค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ของ McDonald’s จากเดิมจะอยู่ที่ 4% และเตรียมปรับค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ของผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์รายใหม่ในอเมริกา ขึ้นมาเป็น 5% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 เป็นต้นไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- McDonald’s ทุ่ม 7.8 หมื่นล้านบาท ลุยขยายสาขา 1,500 แห่งทั่วโลก ท่ามกลางพฤติกรรมลดค่าใช้จ่ายของลูกค้า
- ลูกค้า McDonald’s เงินในกระเป๋าลดลง เลือกซื้อเฉพาะเมนูสุดคุ้ม จับคู่เบอร์เกอร์-เฟรนช์ฟรายส์ หวังประหยัดค่าใช้จ่าย ทำยอดซื้อต่อบิลลดลง
- การตลาดสไตล์ McDonald’s ดึงศิลปิน K-Pop ทั้ง BTS-NewJeans มาร่วมแคมเปญ หวังสร้างแบรนด์เลิฟในใจวัยรุ่น รับสนใจ T-Pop เช่นกัน
เรียกได้ว่าการขึ้นค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกในรอบ 30 ปี โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์รายเดิม แต่ก็ไม่อนุญาตให้ผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ถ่ายโอนสิทธิ์ให้กับสมาชิกในครอบครัว
สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทต้องการรักษาความสัมพันธ์กับเจ้าของแฟรนไชส์และฐานลูกค้าที่มีอยู่ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต เพราะหากย้อนไปในช่วงที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์ McDonald’s กับแฟรนไชส์ ไม่ค่อยราบรื่นมากนักและขัดแย้งกันหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องระบบการประเมินร้านอาหารใหม่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
เห็นได้จากในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ของ McDonald’s ได้ให้คะแนนความสัมพันธ์กับฝ่ายบริหารองค์กรอยู่ที่ 1.71 ทิ้งห่างจากคะแนนสูงสุดระดับ 5 เรียกได้ว่าต่ำเกิดมาตรฐานอย่างมาก และอีกหนึ่งเหตุผลที่ผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์กังวลคือการที่บริษัทจะเพิ่มค่าจ้างให้กับพนักงานถึง 25% ในปี 2024
โจ เออร์ลิงเกอร์ ซีอีโอ McDonald’s กล่าวว่า ปัจจุบัน McDonald’s ถือเป็นผู้นำตลาดเบอร์เกอร์ แต่บริษัทจะต้องไม่หยุดสร้างนิยามใหม่ๆ เพื่อให้แบรนด์มีความสำเร็จในระยะยาว
ทั้งนี้ผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ของร้าน McDonald’s ที่มีอยู่ประมาณ 13,400 แห่งในอเมริกาจะต้องจ่ายค่าเช่า ค่าลิขสิทธิ์รายเดือน และค่าธรรมเนียมรายปีผ่านแอปพลิเคชันของบริษัท
อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน แต่ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายในสาขาเดิมเพิ่มขึ้นกว่า 10.3% โดยหลักๆ มาจากการจัดโปรโมชันชุดสุดคุ้ม จับคู่ชุดเบอร์เกอร์และเฟรนช์ฟรายส์ 2 ชิ้นในราคา 6.50 ดอลลาร์ หรือราวๆ 222 บาท เพื่อกระตุ้นยอดขายและดึงดูดผู้บริโภค
แต่ในแง่ของกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย (EBITDA) คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี หรืออยู่ประมาณ 12.25% ในไตรมาสที่ 4 สะท้อนให้เห็นว่าต่อให้ในปี 2024 ร้านอาหารจะมียอดขายมากขึ้น แต่เมื่อกำไรลดลงก็มีผลต่อกระแสเงินสดของเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์อยู่ดี
ซึ่งนับว่าสวนทางกับ CFO ของ McDonald’s ที่เคยกล่าวเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากระแสเงินสดของผู้ประกอบการในอเมริกาเพิ่มขึ้นกว่า 35%
ทั้งนี้แม้ McDonald’s จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าธรรมเนียม แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าอนาคตของแบรนด์จะสำเร็จมากขึ้นหรือไม่
อ้างอิง:
