×

‘ประธานเป้ vs. ประธานเป (แอสเช)’ The Power Game ฉบับโลกลูกหนัง

07.07.2023
  • LOADING...

งานแถลงข่าวเปิดตัว หลุยส์​ เอ็นริเก บิ๊กบอสคนใหม่ของทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ที่สนามพาร์กเดส์แพรงซ์​ กลายเป็นเรื่องเล็กไปทันทีเมื่อเทียบกับความระอุเดือดในระดับภูเขาไฟระเบิดภายในสโมสร

 

โดยเฉพาะเมื่อผู้สื่อข่าวยิงคำถามให้กับ นาสเซอร์ อัล-เคไลฟี บุคคลสำคัญของประเทศกาตาร์ ที่เป็นประธานสโมสรเปแอสเช เกี่ยวกับเรื่องอนาคตของ คีเลียน เอ็มบัปเป

 

“จุดยืนของเราชัดเจน” อัล-เคไลฟี กล่าว

 

“ถ้าเขาอยากจะอยู่ต่อ ซึ่งเราก็ต้องการแบบนั้น เขาต้องเซ็นสัญญาใหม่ เพราะเราไม่สามารถปล่อยให้นักเตะที่ดีที่สุดในโลกในเวลานี้ย้ายออกไปแบบฟรีๆ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

 

เรียกได้ว่าเป็นจุดยืนที่แข็งกร้าวของอัล-เคไลฟี ซึ่งก็คือจุดยืนของเปแอสเช และอาจหมายถึงจุดยืนของกาตาร์ด้วยนั้น เป็นท่าทีที่น่าสนใจขึ้นมา และเป็นการโยนคำถามกลับไปให้กับเอ็มบัปเปที่เดินหมากตาที่คาดไม่ถึงก่อนหน้านี้ ด้วยการแสดงท่าทีว่าเขาจะไม่ขอขยายสัญญาตามเงื่อนไขที่มี เพื่อจะย้ายออกจากทีมฟรีๆ หลังสิ้นสุดฤดูกาลหน้า


เพราะอัล-เคไลฟี ดูเหมือนพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อแสดงให้เห็นว่า ‘อำนาจ’ อยู่ที่ใครกันแน่

 

นี่คือ The Power Game ฉบับโลกลูกหนังเรื่องใหม่ แล้วเรื่องมันจะจบลงแบบไหนกันแน่?

         

การตอบคำถามของประธานสโมสรเปแอสเชที่มีต่อ ‘ประธานเป้’ อันเป็นชื่อที่แฟนฟุตบอลชาวไทยขนานนามให้ดาวยิงทีมชาติฝรั่งเศสวัย 24 ปี ที่มีอำนาจในการต่อรองมหาศาลเหลือเกินในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความจริงแล้วไม่ถึงกับอยู่เหนือความคาดหมายมากนัก

           

เพราะเปแอสเชก็มีจุดยืนที่ชัดเจนมาโดยตลอดในเรื่องอนาคตของเอ็มบัปเป นับตั้งแต่ที่ดึงตัวเขามาจากโมนาโกเมื่อปี 2017

           

เอ็มบัปเปจะไม่ย้ายออกจากสโมสรไปแบบฟรีๆ (และถ้าเป็นไปได้จะต้องเป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกเท่านั้น)

 

 

แต่ดูเหมือนจุดยืนนี้จะเป็นหนึ่งในปัญหาเช่นกัน โดยเฉพาะกับตัวของเอ็มบัปเปเองที่รู้สึกว่าถึงเวลาอันควรที่เขาจะได้ย้ายไปอยู่ในลีกที่มีคุณภาพสูงกว่า เพราะปัจจุบันลีก เอิง ฝรั่งเศส นั้นไม่ได้ติด Top 5 ตามการจัดอันดับของ UEFA ด้วยซ้ำไป

           

ทีมเดียวที่เขาต้องการจะไปอยู่ด้วย เพราะเหมาะสมกับการสร้างสถานะนักฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลกและสร้าง Legacy ของเขาเองคือเรอัล มาดริด

           

ปัญหาที่ผ่านมาคือ เปแอสเชหวงเขายิ่งกว่าไข่ในหิน และทำให้แทบไม่มีโอกาสสำหรับเรอัล มาดริด หรือแม้แต่ทีมอื่นเลยที่จะได้เอ็มบัปเปไปครอบครองบ้าง ซึ่งนั่นทำให้หนทางเดียวที่อาจเป็นทางออกสำหรับสตาร์กองหน้าหมายเลขหนึ่งของฝรั่งเศสคือ การรอให้หมดสัญญากับสโมสร

           

เอ็มบัปเปพยายามมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปีกลาย ด้วยการไม่พูดถึงเรื่องของการต่อสัญญากับเปแอสเช ท่ามกลางการคาดหวังว่าเขาคงจะได้ย้ายออกไปอยู่กับเรอัล มาดริด แบบฟรีๆ

           

แต่ความพยายามดังกล่าวยังไม่สำเร็จ เมื่อถูกแทรกแซงอย่างไม่น่าเชื่อจากฝ่ายการเมือง ถึงขั้นที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ต่อสายตรงมาหาเอ็มบัปเป เพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาอยู่กับเปแอสเชออกไปก่อน

           

เพราะการอยู่หรือไปของเอ็มบัปเปนั้นไม่ได้สำคัญต่อแค่เพียงเปแอสเช แต่สำคัญต่อวงการฟุตบอลฝรั่งเศสทั้งหมด

           

และหากจะพูดให้ลึกกว่านั้นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างฝรั่งเศสกับกาตาร์ ซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันในหลายเรื่อง

           

นั่นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เอ็มบัปเปยอมตัดสินใจหักอกเรอัล มาดริด (และหักห้ามใจตัวเอง) ต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปเมื่อปีกลาย เพียงแต่สัญญาฉบับใหม่นี้เองที่เขาต้องการใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเองบ้าง

           

ย้อนหลังกลับไปในการแถลงข่าวการต่อสัญญาในบรรยากาศที่ชื่นมื่นระหว่างเอ็มบัปเปกับอัล-เคไลฟีนั้น เสื้อที่ดาวยิงมหัศจรรย์ชูมีการสกรีนหมายเลข ‘2025’ ซึ่งใครดูก็เข้าใจว่าเขาต่อสัญญา 3 ปีกับสโมสร และจะอยู่อย่างน้อยจนจบฤดูกาล 2024/25

           

ความเป็นจริงคือเนื้อในสัญญานั้นระบุเอาไว้ว่า สัญญาตั้งต้นมีระยะเวลาแค่ 2 ปี แต่จะมีเงื่อนไขในการขยายระยะเวลาในสัญญาออกไปอีก 1 ปีด้วยกัน ซึ่งฝ่ายเอ็มบัปเปจะต้องเป็นคนแจ้งต่อทางสโมสรว่าจะใช้เงื่อนไขดังกล่าวหรือไม่ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2023

 

 

อัล-เคไลฟี ก็เชื่อว่าเอ็มบัปเปยินดีที่จะใช้เงื่อนไขนั้นอย่างไม่มีปัญหา โดยไม่ได้เอะใจอะไรว่าในอีก 1 ปีต่อมาเงื่อนไขนี้จะกลับมาเป็นบ่วงบาศรัดคอพวกเขาอีกที เมื่อดาวยิงที่ขึ้นแท่นเป็นผู้ท้าชิงนักเตะเบอร์หนึ่งของโลกแจ้งกับสื่อก่อนจะแจ้งกับสโมสรด้วยซ้ำว่า เขาจะไม่ใช้เงื่อนไขขยายเวลาในสัญญาดังกล่าว แต่ก็จะอยู่กับเปแอสเชต่อไปจนจบฤดูกาล 2023/24 แล้วจึงจะย้ายออกไปแบบอิสระตามกฎบอสแมน

           

โดยที่หากเป็นตามที่เอ็มบัปเปต้องการ นอกจากเขาจะได้ย้ายออกจากทีมแบบไม่มีค่าตัว ซึ่งจะทำให้เพิ่มอำนาจการต่อรองกับว่าที่สโมสรใหม่ (ซึ่งใครก็รู้ว่าจะเป็นเรอัล มาดริด) เพิ่มขึ้นอีกในเรื่องค่าตอบแทนต่างๆ ที่จะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นค่าเหนื่อย เงินค่าเซ็นสัญญา เงินส่วนแบ่งเอเจนต์ (ซึ่งก็คือคุณแม่) ไปจนถึงโบนัสต่างๆ และค่าลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์

           

เขาจะได้เงินค่า Loyalty Bonus ในการอยู่ครบสัญญาจากเปแอสเชที่เชื่อกันว่า ตัวเลขอยู่ที่ราว 150 ล้านยูโรอีกด้วย

           

เรียกว่าได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลยทีเดียวสำหรับเอ็มบัปเป

           

ในขณะที่เปแอสเชนอกจากจะไม่ได้เงินค่าตัวจากการย้ายทีมที่ควรจะเป็นสถิติโลกหรือใกล้เคียง ก็ยังต้องจ่ายเงินโบนัสจำนวนมากมายมหาศาลที่พวกเขาเคยคิดว่าจะมัดใจสตาร์รายนี้อยู่กับทีมได้

           

และนั่นเป็นเหตุให้เปแอสเช โดยเฉพาะอัล-เคไลฟี ยอมรับไม่ได้ที่จะให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้น โดยเฉพาะเอ็มบัปเปเป็นคนพูดเองว่า “เขาจะไม่ยอมไปโดยที่เปแอสเชไม่ได้อะไรกลับมาเลย”​ ซึ่งหลังจากที่เกิดเรื่องมาร่วมเดือนก็เริ่มมีความชัดเจนในท่าที

           

คำขาดของประธานสโมสรชาวกาตาร์คือ “จะอยู่ต่อต้องเซ็นสัญญากันใหม่” ในวงเล็บอันเป็นที่เข้าใจกันคือ หากเซ็นสัญญาใหม่ ฤดูกาลหน้าจะย้ายออกจากทีมไปอยู่ไหนก็ได้ สโมสรจะเปิดทางให้แต่โดยดี

 

แต่หากเอ็มบัปเปยืนกรานตามจุดยืนเดิมที่จะไม่เซ็นสัญญาอะไรทั้งนั้น เปแอสเชมีมาตรการอยู่ 2 อย่างด้วยกัน

 

  1. เขาจะถูกขายออกไปภายในสิ้นเดือนนี้ให้กับสโมสรที่เสนอค่าตัวสูงสุด (ซึ่งอาจไม่ใช่เรอัล มาดริด ก็ได้)

 

  1. สโมสรแจ้งกับเอ็มบัปเปว่า การที่เขาเลือกจะทำแบบนี้ (อยู่ต่อเพื่อรอย้ายฟรีและรับโบนัส) จะส่งผลกระทบต่อสโมสรอย่างมหาศาล และทำให้สโมสรต้องขาย ‘เพื่อน’ ของเขาออกจากทีมแทน หรือพูดง่ายๆ คือเอาเพื่อนในทีมมาเป็นตัวประกันนั่นเอง

 

ทางออกที่สวยงามที่สุดในจินตนาการของเปแอสเชคือ เซ็นสัญญาก่อน ปีหน้าได้ย้ายแบบค่าตัวสถิติโลก เปแอสเชได้อะไรตอบแทนกลับมาตามคำพูดที่เอ็มบัปเปเคยพูดไว้ และเขาก็ได้ทำตามความฝันของตัวเองในการตามรอย คริสเตียโน โรนัลโด ฮีโร่ในดวงใจในชุดสีขาวของเรอัล มาดริด

 

 

อย่างไรก็ดี ลึกๆ แล้วเปแอสเช ซึ่งผิดหวังกับท่าทีของเอ็มบัปเป ทั้งๆ ที่สโมสรได้ลงทุนมากมายกับตัวของเขา รวมถึงให้สิทธิพิเศษมากมายหลายอย่าง (จนเป็นที่มาของคำว่าประธานเป้) ยอมรับว่าโอกาสที่จะทำให้นักเตะต่อสัญญานั้นมีน้อย

           

แต่อย่างน้อยพวกเขาต้องทำอะไรสักอย่างบ้าง ซึ่งหนึ่งในคำพูดที่สำคัญของอัล-เคไลฟี เมื่อวานนี้คือการบอกว่า “ไม่มีใครที่จะใหญ่ไปกว่าสโมสรได้ แม้กระทั่งตัวของผมเอง”

           

แม้ว่าแท็กติกในการกดดัน โดยเฉพาะเรื่องของการเอาเพื่อนมาเป็นตัวประกัน จะฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร

           

เอ็มบัปเปซึ่งอยู่ระหว่างการพักร้อนและเพิ่งเดินทางถึงแคเมอรูน ประเทศบ้านเกิดของพ่อ ยังไม่มีท่าทีใดๆ ต่อเรื่องนี้ และเป็นไปได้ที่เขาเองก็จะแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวเช่นกันว่า ได้บอกไปแล้วว่าจะไม่ใช้เงื่อนไข จะอยู่กับทีมต่อไป และจะไปจากสโมสรแบบฟรีๆ หลังจบฤดูกาลหน้า

           

สถานการณ์จึงเป็นการประลองกำลัง วัดพลังวัตรกันระหว่างสองฝ่าย

           

ประธานเป้ vs. ประธานเป​ (แอสเช)

           

โดยที่เรอัล มาดริด แอบนั่งมองอยู่เงียบๆ รอดูท่าทีว่าพวกเขาจะแสดงตัวเป็น ‘ทางออกฉุกเฉิน’ ให้เรื่องนี้ดีหรือไม่และในเวลาไหนดี เพราะตามสายข่าว ฟลอเรนติโน เปเรซ พร้อมที่จะยื่นมือเข้าช่วยเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยเมื่อถึงเวลา

           

และเวลานั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเอ็มบัปเปว่า เขาต้องการที่จะย้ายออกจากสโมสรในเวลานี้ (ชวดเงินโบนัส) หรือจะรอเพื่อย้ายในฤดูกาลหน้า (ได้เงินโบนัส แต่อาจจะถูกเปแอสเชบีบด้วยวิธีต่างๆ ไปอีก 1 ปี)

           

The Power Game ภาคนี้ น่าติดตามเป็นอย่างมากว่าจะดำเนินไปในทิศทางไหนต่อ

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising