×

‘Mad Max’ เปิดชีวิต แม็กซ์ แวร์สเตปเพน ประกายแสงสีส้ม ผู้เกิดมาเพื่อเป็นนักขับแชมป์โลก

13.12.2021
  • LOADING...
Max Verstappen

HIGHLIGHTS

8 mins. read
  • การแข่งรอบสุดท้ายของสนามท้ายสุดในฤดูกาล 2021 จะกลายเป็นเรื่องราวในตำนานไปอีกแสนนาน เมื่อ แม็กซ์ แวร์สเตปเพน ได้โอกาสอย่างน่าเหลือเชื่อ จนแซง ลูอิส แฮมิลตัน คว้าแชมป์โลก F1 สมัยแรกไปครองได้
  • ชีวิตการเป็นนักแข่งรถของแชมป์โลกคนใหม่เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 4 ขวบ! โดยมีพ่อซึ่งเป็นอดีตนักขับ F1 ตัดสินใจจะปั้นลูกให้เดินตามรอยตัวเองขึ้นถึงระดับ F1 ให้ได้เป็นอย่างน้อย
  • ชีวิตในวัยเด็กของแวร์สเตปเพนคือชีวิตที่อุทิศเพื่อการแข่งขัน ทุกสุดสัปดาห์พ่อ-ลูกจะเดินทางไปอิตาลี นอกจากเพื่อลงแข่งรถตามสนามต่างๆ ยังเพื่อเรียนรู้ทุกองค์ประกอบของรถแข่ง เพื่อจะได้เข้าใจการแข่งรถอย่างแท้จริง

คืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นคืนที่แฟนมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก หรือแม้แต่ไม่ใช่แฟนขาประจำ ต่างได้ทดสอบความเข้มแข็งของหัวใจผ่านการชมการแข่งขันรถแข่งฟอร์มูลาวันในสนามสุดท้าย ที่มาตัดสินกันในรอบสุดท้ายของการแข่งขัน

 

มันเป็นการหาบทสรุปที่สุดยอด ไม่มีการเขียนบทใดจะสวยงามกว่านี้อีกแล้ว เมื่อย้อนมองไปยังเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นตลอดทั้งฤดูกาลที่ผ่านมา

 

ตลอด 21 สนาม เราได้เห็นการขับเคี่ยวกันอย่างถึงเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของ ลูอิส แฮมิลตัน นักขับชาวอังกฤษผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดของโลก และต้องการจะพิชิตแชมป์โลกสมัยที่ 8 เพื่อก้าวผ่านตำนานตลอดกาลคนเดิมอย่าง มิชาเอล ชูมัคเกอร์ กับ แม็กซ์ แวร์สเตปเพน ไอ้หนุ่มนักขับอัจฉริยะชาวดัตช์ ที่เวลาได้บ่มเพาะจนพร้อมสำหรับการก้าวขึ้นมาท้าชิงตำแหน่งแชมป์โลก

 

เรายังได้เห็นการปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่าในสนาม โค้งแล้วโค้งเล่า การแซงครั้งแล้วครั้งเล่า และอุบัติเหตุที่พวกเขาชนกันเองถึง 3 ครั้งในสนาม โดยหนึ่งในนั้นหากไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน Halo แล้ว เราอาจสูญเสียนักขับผู้ยิ่งใหญ่อย่างแฮมิลตันไปแล้ว

 

แม้กระทั่งในสนามสุดท้าย ยาสอารีนา ในกรุงอาบูดาบี สนามที่เป็นการดวลกันระหว่างยอดนักขับทั้งสองคนที่มีคะแนน 367.5 เท่ากัน ซึ่งใครทำผลงานได้ดีกว่าจะเป็นผู้ชนะ ก็เต็มไปด้วยเรื่องราวและเหตุการณ์มากมายในช่วงระยะเวลา 2 ชั่วโมงของการแข่งขันที่เหมือนได้ชมภาพยนตร์ดีๆ สักเรื่อง

 

วินาทีที่ แม็กซ์ แวร์สเตปเพน แซง ลูอิส แฮมิลตัน ได้ในโค้งที่ 4 ของรอบที่ 58 ในรายการอาบูดาบีกรังด์ปรีซ์

 

รอบสุดท้ายในตำนาน

เริ่มจากการช่วงชิงจังหวะออกตัวนำไปก่อนของแฮมิลตัน จังหวะปัญหาในโค้งที่ 6 เมื่อแวร์สเตปเพนเบียดจนรุ่นพี่หลุดออกนอกสนาม และอาศัยจังหวะนี้วิ่งตัดแทร็กออกไป แต่กลับไม่มีการตัดสินให้คืนตำแหน่งให้กับนักขับดัตช์ ท่ามกลางความประหลาดใจของผู้ชมทั่วโลก


ก่อนที่เราจะได้เห็นการรวมพลังของทีมเรดบูลล์ ทั้งส่วนของทีมที่วางกลยุทธ์ โดยเฉพาะการเปลี่ยนยางในสนามเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นรอง มาถึงการเสียสละของ เซร์คิโอ เปเรซ นักขับเพื่อนร่วมทีม ที่งัดฝีมือและประสบการณ์ในการต้านทานแฮมิลตันอย่างดุเดือด เพื่อให้แวร์สเตปเพนที่ตามหลังไกลถึง 8 วินาที ไล่ตามกลับมาจนเหลือระยะห่างไม่ถึง 2 วินาที

 

แต่แฮมิลตันได้แสดงให้เห็นว่า ทำไมเขาจึงเป็นสุดยอดนักขับที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล ฝีมือ พรสวรรค์ และประสบการณ์ของนักขับวัย 36 ปี ทำให้เขายังรักษาระยะห่างเอาไว้ได้ และน่าที่จะคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 8 เอาไว้ได้

 

ทว่าดูเหมือนเทพีแห่งโชคจะไม่ยอมหันมายิ้มให้เขา แต่กลับหันไปยิ้มให้แวร์สเตปเพนแทน เมื่อรถของ นิโคลัส ลาฟิตี เสียหลักหมุนชนแบร์ริเออร์ในโค้งอันตรายในรอบที่ 53 ของการแข่ง ทำให้เซฟตีคาร์ต้องเข้ามาเพื่อเคลียร์สนามให้ปลอดภัย

 

ระยะห่าง 11 วินาทีที่แฮมิลตันทิ้งแวร์สเตปเพนจึงหายไปหมดทันที ก่อนจะเป็นช่วงเวลาระทึกใจของทุกคนว่าเซฟตีคาร์จะวิ่งถึงเมื่อไร จะมีโอกาสให้ทั้งคู่ได้ชิงชัยกันหรือไม่ ซึ่งจุดนี้กลายเป็นกรณีปัญหาเมื่อ ไมเคิล ลาซี ผู้อำนวยการแข่งขัน ตอนแรกระบุว่า จะไม่ให้รถที่อยู่ในรอบแข่งขันแซงหน้าได้ นั่นหมายถึงแวร์สเตปเพนจะต้องพยายามแซงหน้ารถที่ถูกน็อกรอบอีก 4 คัน กว่าจะถึงแฮมิลตัน

 

แต่เมื่อ คริสเตียน ออร์เนอร์ หัวหน้าทีมเรดบูลล์ ทักท้วงว่า “ผมขอให้ทั้งคู่ได้แข่งกันสักรอบเป็นอย่างน้อย” ทางด้านมาซีได้ตัดสินใจให้รถในรอบแข่งขันแซงหน้าขึ้นมาได้ และนั่นหมายถึงแวร์สเตปเพนได้ขึ้นหน้ามาดวลกับแฮมิลตันตัวต่อตัวทันที

 

“ไมเคิล นี่มันไม่ถูกต้อง” โตโต วูล์ฟฟ์ หัวหน้าทีมเมอร์เซเดส ทักท้วง ก่อนที่จะได้คำตอบจากมาซีว่า “นี่คือการแข่งรถ”

 

แน่นอนว่าการตัดสินใจของมาซีจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกพูดถึงไปตลอดกาล เพราะเป็นการสร้างจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของการแข่งขันชิงแชมป์โลกในฤดูกาลที่ตื่นเต้นที่สุดครั้งหนึ่ง และอาจจะเหนือกว่าการดวลกันของอดีตคู่ปรับอย่าง นิกิ เลาดา-เจมส์ ฮันต์, ไอร์ตัน เซนนา-อแล็ง พร็อสต์ หรือ มิชาเอล ชูมัคเกอร์-เดมอน ฮิลล์

 

สุดท้ายด้วยความได้เปรียบจากการเข้าพิทเปลี่ยนยางเป็นครั้งที่ 3 ในการแข่งขันเป็นยางแบบ Soft Tyres ทำให้แวร์สเตปเพนสามารถแซงหน้าแฮมิลตันได้เป็นครั้งแรกในโค้งที่ 4 และสามารถปัดป้องไม่ให้แชมป์โลก 7 สมัยแซงกลับได้ในโค้งที่ 5 และ 7 ก่อนที่จะเร่งเครื่องหนีผ่านธงตราหมากรุก เข้าเส้นชัยเป็นคนแรก

 

และได้เป็นแชมป์โลกสมัยแรกในวัย 24 ปีกับอีก 73 วัน

 

แชมป์โลกที่จะได้การบันทึกในความทรงจำของแฟน F1 ทุกคนว่าเป็นการแข่งขันที่สุดยอดและเหลือเชื่อที่สุด

 

อย่างไรก็ดี การเป็นแชมป์โลกของแวร์สเตปเพนไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายมากมายแต่อย่างใด

 

เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาไอ้หนุ่มคนนี้ถูกหล่อหลอมมาเพื่อให้มาสู่จุดนี้อยู่แล้ว

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Max Verstappen (@maxverstappen1)

 

แม็กซ์และคุณพ่อจอส ผู้ผลักดันลูกราวกับกดคันเร่งตั้งแต่ยังเล็ก

 

สายเลือดนักแข่งที่แรงตั้งแต่ไม่กี่ขวบ

ชีวิตการเป็นนักแข่งรถของแวร์สเตปเพนเริ่มตั้งแต่ลืมตาดูโลก

 

นั่นเพราะเขาสืบสายเลือดของนักแข่งจาก จอส แวร์สเตปเพน คุณพ่อผู้เป็นนักขับ F1 มาก่อน แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จหรือโดดเด่นอะไรนัก ได้เคยขึ้นโพเดียมเพียงแค่ 2 ครั้งในระหว่าง 9 ปีที่ใช้ชีวิตในสนามแข่ง และคุณแม่ โซฟี คัมเพน ที่เป็นนักขับรถคาร์ตระดับท็อป และเคยลงแข่งกับนักขับ F1 ในอนาคตอย่าง เจนสัน บัตตัน, แยน แม็กนุสเซน, จานคาร์โล ฟิซิเคลลา และ ยาร์โน ทรูลลี

 

การเกิดในครอบครัวนักแข่งรถทำให้ชีวิตของเขามีความเพียบพร้อมตั้งแต่แรก จากของเล่นชิ้นใหญ่อย่างรถต่างๆที่แม็กซ์จะขี่เล่นในสวนทุกวัน จอสเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษในตัวลูกชาย นอกจากจะเริ่มสนุกกับการคุมพวงมาลัย ไอ้ลูกชายตัวดียัง ‘มีความรู้สึก’ กับเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นรถจักรยานยนต์ 4 ล้อ หรือรถจี๊ปไฟฟ้า และดูเหมือนจะไม่ยอมห่างจากสิ่งเหล่านี้เลยสักวัน

 

จากการขี่เล่นสนุกในวัย 2 ขวบครึ่ง แม็กซ์น้อยก็ดูจะหนีไม่พ้นจากการแข่งขัน ซึ่งแม้จอสจะไม่อยากให้ลูกชายเริ่มต้นเร็วเกินไป วัยที่กำลังดีสำหรับการเริ่มต้นน่าจะเป็นช่วง 6 ขวบ แต่แค่ 4 ขวบครึ่ง ไอ้หนุ่มนักซิ่งของเราก็เริ่มต้นลงสนามแข่งขันแล้ว

 

จอสยังจำเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ วันนั้นเขาพาทีมรถคาร์ตของเขาไปแข่ง และมีโทรศัพท์จากคนในครอบครัวโทรมาบอกว่า แม็กซ์กระจองอแงอยากขอลงแข่งในสนามใกล้บ้านที่เมืองเกงด้วย เพราะเห็นเด็กที่อายุน้อยกว่ายังลงแข่งได้เลย

 

ช่วงนั้นเป็นปี 2002 ก่อนที่ในปีต่อมา จอสวางมือจากการเป็นนักขับ F1 และตัดสินใจว่า หากแม็กซ์ต้องการจะเป็นนักขับจริงๆ เขาจะเป็นคนสอนทุกอย่างเอง

 

“นี่คืองานของผม”

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Max Verstappen (@maxverstappen1)

 

แชมป์โลกโกคาร์ต

 

เหล็กกล้าที่ผ่านการทุบตีอย่างหนัก

การมีพ่อเป็นนักขับ F1 มีข้อดีนอกเหนือจากความพร้อมทางบ้านแล้ว ความรู้และประสบการณ์ทุกอย่างที่จอสเรียนรู้ด้วยชีวิต ยังได้ถูกถ่ายทอดถึงแม็กซ์แบบเต็มๆ

 

แต่การมีพ่อเป็นนักแข่งรถก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างง่ายดาย ในทางตรงกันข้าม แวร์สเตปเพนน้อยต้องผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างหนักตั้งแต่เด็ก

 

จอสเริ่มต้นด้วยการซื้อรถ Baby Kart หรือรถคาร์ตขนาดเล็กสำหรับเด็กน้อย ซึ่งปัจจุบันรถคันนี้ยังแขวนอยู่ในร้านของครอบครัว โดยเขาปรับแต่งหลายอย่างเพื่อให้เหมาะสมกับแม็กซ์ที่ยังเด็กอยู่มาก รวมถึงจูนเครื่องยนต์ให้ใช้งานได้ดีด้วย

 

ในความรู้สึกของพ่อ ตอนนั้นแค่ต้องการดูว่าแม็กซ์จะทำได้แค่ไหน แต่เมื่อได้เห็นการขับขี่ของลูกชายแล้ว เขาตัดสินใจได้ในเวลาอันรวดเร็วว่าปลายทางสำหรับลูกชายจะต้องอยู่ที่การแข่งในระดับ F1 เท่านั้น และเขาจะต้องพยายามพาลูกไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้

 

แม็กซ์น้อยลงแข่งรถคาร์ตครั้งแรกตอนอายุ 7 ขวบ โดยแข่งกับเด็กอายุ 11 ขวบ แต่เขาก็ยังชนะได้ แม้ว่าในการแข่งขันครั้งนั้นจะยากเพราะยางค่อนข้างนิ่มและมันไม่ง่ายเลยสำหรับเด็กอายุ 7 ขวบที่จะใช้พละกำลังในการแข่ง แต่จอสก็ได้เห็นพลังของลูกชายทั้งแรงกายและแรงใจที่ไม่ธรรมดา

 

ถึงจะอายุน้อยกว่า แต่แม็กซ์ไม่เคยกลัว และเขาก็ยังเป็นแบบนี้มาโดยตลอด

 

พอถึงอายุ 9 หรือ 10 ขวบ จอสรู้ว่าลูกต้องเริ่มแข่งในระดับจูเนียร์แล้ว และนั่นหมายถึงการที่ทั้งคู่จะต้องออกเดินทางตลอดทุกสัปดาห์ โดยทันทีที่เลิกเรียนในวันศุกร์ตอน บ่ายสองโมงครึ่ง แม็กซ์จะกระโดดขึ้นรถตู้ที่จอสขับมารถที่โรงเรียน ก่อนจะกระเตงกันไปแข่งตามสนามต่างๆ ในอิตาลี ก่อนที่จะขับรถกลับบ้านในช่วง 5 โมงเย็นวันอาทิตย์ และไปส่งลูกที่โรงเรียนในช่วงเช้าวันจันทร์

 

ถึงจะต้องขับรถเที่ยวละ 1,250 กิโลเมตร แต่การเดินทางไปอิตาลีมีความสำคัญมาก เพราะจอสรู้ว่านอกเหนือจากสนามแข่งแล้ว ที่นี่ยังมีโรงงานรถมากมาย และเขาต้องการให้แม็กซ์ได้รู้จักการแข่งรถว่ามีมากกว่าแค่การกดคันเร่งกับบังคับพวงมาลัย มันมีเรื่องของเครื่องยนต์กลไก ตัวถังรถ เบรก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องรู้จักให้ถ่องแท้

 

การฝึกซ้อมเป็นไปอย่างหนักและต่อเนื่องไม่มีคำว่าพัก ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร จะฝนตกหรือเหน็บหนาวทรมานแค่ไหน ความใจดีที่จอสมีให้ลูกคือการให้พักแค่ไม่กี่นาที ให้มือหายเย็นแล้วกลับไปขับรถใหม่อีกครั้ง

 

จอสรู้ว่ามันหนักสำหรับเด็กอายุแค่นี้ แต่หากแม็กซ์ต้องการจะไปให้ถึงจุดสูงสุด นี่เป็นแค่เนินเล็กๆ ที่เขาต้องผ่านมันไปให้ได้

 

แม็กซ์เองก็ตระหนักในเวลาต่อมาว่าทุกสิ่งที่พ่อทำให้ รวมถึงเรื่องเล่าในตำนานที่เขาทิ้งลูกไว้กลางทางพร้อมกับรถคาร์ตที่พัง ให้ประกอบรถกลับเองให้ได้ ซึ่งสุดท้ายแม่ที่ขับรถตามดูห่างๆ และพ่อที่ขับย้อนกลับมารับกลับ ก่อนที่ทั้งสองจะไม่พูดจากันหลายสัปดาห์ เป็นการหล่อหลอมให้เขามีวันนี้

 

ดังเหล็กกล้าที่ถูกตีด้วยไฟร้อน แม็กซ์ แวร์สเตปเพน แข็งแกร่งทั้งกายและใจ

 

 

ประกายแสงสีส้ม

ผ่านมาถึงปี 2013 แม็กซ์ในวัย 16 ปีมาถึงจุดที่ได้เป็นแชมป์โลกการแข่งรถคาร์ต และมันถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องก้าวไปสู่การขับรถแข่ง

 

ถึงจะเป็นคุณพ่อจอมเฮี้ยบ แต่จอสก็มีความกังวลกับการขับรถแข่งครั้งแรกของแม็กซ์ และไม่ต้องการให้เอิกเกริก จึงติดต่อทีมเมเนอร์ เอ็มพี ทีมรถแข่งสัญชาติแองโกล-ดัตช์ เพื่อขอขับทดสอบในสนามซ้อมของเรโนลต์ที่เพมบรีย์ สนามแข่งขนาดเล็กทางตอนใต้ของเวลส์ ที่ใช้จัดการแข่งขันในรุ่นเยาวชนบ้าง

 

สมัยนั้นเพมบรีย์เป็นสนามที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากแทร็ก ไม่มีแม้กระทั่งโรงรถ ขับไปก็เห็นแกะเล็มหญ้าไป ซึ่งทั้งจอสและแม็กซ์ก็แอบช็อกกับสภาพแวดล้อมที่ได้เห็น และที่แย่กว่านั้นคือพวกเขาจองวันซ้อมไว้ 2 วัน แต่แค่วันแรกฝนก็ถล่มลงมาอย่างหนัก

 

จอสไม่อยากให้แม็กซ์ลงไปทดสอบในสภาพสนามแบบนี้ แต่ โทนี ชอว์ ผู้จัดการทีมเมเนอร์ ยืนยันว่า นี่แหละคือโอกาสดีที่จะได้ลองของจริงเลย

 

ความเป็นห่วงลูกของจอสนั้นเข้าใจได้ แต่แม็กซ์ไม่ทำให้พ่อต้องห่วงเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะทันทีที่ขับรถลงไปในสนามแข่ง เหมือนกับเราได้เห็นลูกระเบิดที่ถูกจุด รถของแม็กซ์ระเบิดความเร็วในสนามได้อย่างน่าประทับใจ แต่ไม่ได้เป็นการขับที่บ้าระห่ำ ในทางตรงกันข้ามแม็กซ์สามารถควบคุมรถได้อย่างดี มีความนิ่งที่เกินตัว แต่ก็มีความกล้าหาญที่จะขับด้วยความรวดเร็วด้วย

 

ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือการขับครั้งแรกของแม็กซ์ แต่สิ่งที่ทุกคนที่ได้เห็นในวันนั้นเชื่อคือ เด็กคนนี้จะเป็นปรากฏการณ์ของวงการรถแข่ง

 

เขาคือประกายแสงสีส้มที่จะเปล่งปลั่งเจิดจ้ากว่าทุกคน

 

หลังจากนั้นทุกคนตัดสินใจร่วมกันว่า แม็กซ์ แวร์สเตปเพน ควรจะข้ามรุ่นไปแข่งในระดับฟอร์มูลาทรีทันที แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายก็ตาม แต่เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา โดยทีมที่รับดูแลเขาคือ ฟาน อาเมอร์ฟอร์ต ที่เคยดูแลจอสในสมัยที่เป็นดาวรุ่งพรสวรรค์มาก่อน

 

แม้จะไม่แปลกใจกับพรสวรรค์ของ ‘สายเลือดแวร์สเตปเพน’ ที่ยอดเยี่ยมเสมอ แต่ ฟริตซ์ ฟาน อาเมอร์ฟอร์ต เจ้าของทีม บอกกับทุกคนทันทีในวันแรกที่เขาเข้าร่วมกับทีมก่อนการแข่งฟอร์มูลาทรีในยุโรปว่า พวกเขาควรจะดันแม็กซ์ไปแข่งในระดับ F1 ในวันพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ

 

เพราะการจะข้ามไประดับนั้นต้องเตรียมอะไรมากมาย (แม้ว่าครอบครัวของเขาเองก็ต้องการแบบนั้นเหมือนกัน เพราะพวกเขามองเป้าหมายสูงสุดเสมอ) แม็กซ์จึงลงแข่งในระดับฟอร์มูลาทรีก่อนในปี 2014 และสามารถคว้าแชมป์ได้ถึง 10 สนาม แม้ว่าจะไม่ได้แชมป์โดยพ่ายให้แก่ เอสเตบัน โอคอน นักขับดาวโรจน์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งปัจจุบันก็เป็นนักขับ F1 ด้วยกัน แต่เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะเครื่องยนต์ล้มเหลวในช่วงสนามท้าย และทำให้ถูกลงโทษให้เริ่มจากกริด 10 ถึง 3 สนาม

 

แต่เรซปาฏิหาริย์ที่สร้างชื่อให้เขาคือสนามสุดท้ายที่มาเก๊า ซึ่งเป็นสนามที่ยากและอันตรายยิ่งกว่าโมนาโก จีพี และขึ้นชื่อเรื่องโค้งแรกที่เก็บนักขับมาแล้วมากมาย

 

ในวันแข่งแม็กซ์เริ่มใน P2 รถของเขาซึ่งยับเยินหลังชนในรอบควอลิฟาย เพราะอยากจะได้ตำแหน่งโพล ก็เยินเข้าไปอีกจากการเฉี่ยวชนกันแบบปกติของสนามแห่งนี้ ทางเดียวที่เขาจะแข่งต่อได้คือ การต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้น ซึ่งทุกคนบอกให้เขาควรออกจากการแข่งขันจะดีกว่า

 

แม็กซ์ปฏิเสธที่จะยอมแพ้ เขาไม่ยอมลุกออกจากรถแม้กระทั่งในช่วงที่เครนยกรถของเขากลับไปที่จุดสตาร์ท และเมื่อเขาได้รับอนุญาตให้ขับต่อ ก็ขับรถที่มีแค่ 3 ล้อเข้าพิทเพื่อซ่อมได้ ก่อนที่จะกลับไปแข่งต่อและซิ่งจนเข้าเป็นอันดับที่ 7 ในวันนั้น

 

วันนั้นคือวันที่ทุกคนได้เห็นความตั้งใจของเด็กหนุ่มคนนี้ว่าหัวใจไม่แพ้ของเขาร้อนแรงแค่ไหน

 

หลังจากนั้นแม็กซ์ตกลงเลือกร่วมทีมเรดบูลล์ แม้ว่าเมอร์เซเดสจะต้องการเขาด้วยเช่นกันก็ตาม ก่อนจะเข้าโปรแกรมและแข่งในทีมโตโร รอสโซ ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาสู่การแข่ง F1 จริงๆ ในปี 2015 และเป็นเจ้าของสถิตินักขับ F1 ที่อายุน้อยที่สุด 17 ปีกับอีก 166 วัน

 

ก่อนที่เขาจะได้แชมป์โลกในอีก 6 ปีต่อมา ซึ่งชวนให้เชื่อเหลือเกินว่านี่จะไม่ใช่แชมป์โลกครั้งเดียวของเขา

 

ยุคสมัยของ ‘Mad Max’ เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

 

อ้างอิง:

FYI
  • หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ แม็กซ์ แวร์สเตปเพน และทีมเรดบูลล์ คว้าแชมป์โลกได้คือ เครื่องยนต์จาก Honda ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1991 ที่เครื่องยนต์สัญชาติญี่ปุ่นได้แชมป์โลก โดยครั้งก่อนหน้านี้คือ ไอร์ตัน เซนนา ผู้ล่วงลับ
  • คนที่รู้จักครอบครัวแวร์สเตปเพนอย่าง ฟาน อาเมอร์สฟอร์ต บอกว่า แม็กซ์ได้ความดิบและทักษะในการขับขี่จากพ่อ แต่ได้ความฉลาดและการเข้าสังคมแบบแม่
  • ก่อนหน้านี้จอสคือนักขับชาวดัตช์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของเนเธอร์แลนด์ แต่วันนี้ลูกชายอย่างแม็กซ์ได้กลายเป็นนัมเบอร์วันคนใหม่ที่พ่อเองก็ภูมิใจ
  • แต่เอาเข้าจริง แม็กซ์เกิดที่เบลเยียม แม่เป็นคนเบลเยียม เพียงแต่เลือกจะขับในนามนักขับเนเธอร์แลนด์ เพราะรู้สึก ‘เป็นคนดัตช์มากกว่า’
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising