เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จีนประกาศตัวเลข Caixin PMI ภาคการบริการเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ 58.4 สูงกว่าตลาดคาดไว้ที่ 53.2 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2553 ขณะที่วานนี้สหรัฐฯ ประกาศดัชนี ISM PMI ภาคการบริการเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ 57.1 สูงกว่าตลาดคาดไว้ที่ระดับ 50.1 ซึ่งนับเป็นปัจจัยหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ต่างปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา
กระทบอย่างไร:
วันนี้ (7 กรกฎาคม 2563) SET Index เปิดกระโดดหลังตลาดปิดทำการไป 3 วันเนื่องจากติดช่วงวันหยุดยาว โดยช่วงเช้าปรับเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดระหว่างวันที่ 1,391.77 จุด ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจของจีนและสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าตลาดคาด ก่อนที่จะอ่อนตัวลงหรือลดช่วงบวกลงในช่วงบ่าย หลังตลาดทั่วโลกกลับมากังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 2 ที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ ส่งผลให้สิ้นวัน SET Index ปิดที่ระดับ 1,373.22 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 0.95 จุด (+0.07%DoD) อย่างไรก็ดีพบว่าวันนี้หุ้นที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อดัชนีประกอบด้วย
- ราคาหุ้น บมจ.ปตท.(PTT) เพิ่มขึ้น 2.55%DoD มีผลต่อดัชนี 2.63 จุด
- ราคาหุ้น บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เพิ่มขึ้น 9.71% DoD มีผลต่อดัชนี 1.46 จุด
- ราคาหุ้น บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) เพิ่มขึ้น 4.32% DoD มีผลต่อดัชนี 0.77 จุด
- ราคาหุ้น บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) เพิ่มขึ้น 4.78% DoD มีผลต่อดัชนี 0.46 จุด
- ราคาหุ้น บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) เพิ่มขึ้น 6.57% DoD มีผลต่อดัชนี 0.34 จุด
มุมมองระยะสั้น
SCBS คาดว่า SET Index เริ่มมี Upside จำกัดบริเวณ 1,400 จุด และ 1,420 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน รวมถึงตลาดยังขาดปัจจัยหนุนและ Big Event ที่จะเป็นปัจจัยกระตุ้นต่อทิศทางราคาหุ้น นอกจากนี้เชื่อว่านักลงทุนยังอยู่ระหว่างรอติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/63 ของหุ้นกลุ่มธนาคารในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งหากผลประกอบการออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดไว้อาจจะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้นถัดจากนี้ต่อไปได้
มุมมองระยะยาว:
SCBS มองว่ามูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ของตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในสภาวะตึงตัวซึ่งหากพิจารณาประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 64 SET Index จะซื้อขายที่ P/E 16.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมาบริเวณ 15.0-16.0 เท่า ซึ่งมูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยที่ตึงตัวนี้ ทำให้ SCBS เชื่อว่าตลาดหุ้นได้สะท้อนการฟื้นตัวของผลประกอบการในปี 2564 ไว้มากพอสมควรแล้ว
ดังนั้นหากทิศทางผลประกอบการปี 2564 ไม่ได้ฟื้นตัวอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้จะเป็นปัจจัยเสี่ยงกดดันต่อราคาหุ้นได้ นอกจากนี้ประเด็นที่ยังต้องติดตามในระยะยาวยังมีเรื่องความคืบหน้าด้านการคิดค้นยาต้านโควิด-19 และความเสี่ยงเกิดสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังไม่สิ้นสุดในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาพการลงทุนของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์