×

‘ลิเวอร์พูล vs. เรอัล มาดริด’ ศึกชิงจ้าวยุโรปของคู่ปรับที่กลับมาพบกันอีกครั้ง

28.05.2022
  • LOADING...
ลิเวอร์พูล vs. เรอัล มาดริด

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่คาดหวังจะเห็น 2 สุดยอดทีมแห่งยุคของอังกฤษอย่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกกันเอง แต่ดูเหมือนเวลานี้เรอัล มาดริด ก็นับเป็นการจับคู่ที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน

 

ไม่ใช่เพียงเพราะสถานะของทั้งสองสโมสรที่ถือเป็นสุดยอดของวงการฟุตบอลยุโรป มีเกียรติและประวัติศาสตร์มายาวนาน แต่เป็นเพราะทั้งลิเวอร์พูลและเรอัล มาดริด ต่างก็มีกรรมที่ผูกกันมาไม่ใช่แค่เมื่อ 4 ปีที่แล้วที่เคียฟ แต่สามารถย้อนกลับไปได้ไกลถึง 41 ปี

 

เมื่อปี 1981 ทั้งสองสโมสรเคยเดินทางมาพบกันที่ปารีส นครแห่งความรักแล้วครั้งหนึ่งในนัดชิงชนะเลิศที่สนามปาร์กเดส์แพรงซ์ของทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในวันที่ยังไม่มีกลุ่มทุนจากตะวันออกกลางเข้ามาสนับสนุน โดยครั้งนั้น อลัน เคนเนดี แบ็กซ้าย เป็นฮีโร่ทำประตูโทนให้ลิเวอร์พูลคว้าชัยชนะไปได้ 1-0

 

จากนั้นในปี 2018 เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายยัดเยียดฝันร้ายให้กับลิเวอร์พูลคืนบ้างกับชัยชนะ 3-1 ที่สนามโอลิมเปียสเตเดียม ณ กรุงเคียฟ ซึ่งปัจจุบันถูกปิดตัวลงจากภาวะสงคราม

 

ก่อนที่ลิเวอร์พูลกับเรอัล มาดริด จะมีโอกาสพบกันอีกในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของฤดูกาล 2020/21 ซึ่งปรากฏว่า ทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ยังคงค้นพบชัยชนะไม่เจอเหมือนเดิม พ่ายเรอัล มาดริด ไปในผลรวม 2 นัด 1-3 ต้องกระเด็นตกรอบด้วยความบอบช้ำ


อย่างไรก็ดี บันทึกความหลังเหล่านี้ไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเกมที่สตาดเดอฟรองซ์ สนามกีฬาแห่งชาติฝรั่งเศส ซึ่งตั้งอยู่ที่แซงต์เดอนีส์ ทางตอนเหนือของกรุงปารีส ที่จะต้อนรับกองเชียร์กว่า 80,000 คนได้

 

เพราะนี่จะเป็นเกมที่แตกต่างจากเดิมในหลายมิติ และมีหลายมุมที่น่าสนใจ

 

ลิเวอร์พูลกับแชมป์ที่ 3 ของฤดูกาล

ตลอดฤดูกาล 2021/22 แฟนเดอะค็อปได้มีความสุขมาโดยตลอดกับการที่เห็นทีมรักมีลุ้นกวาดครบ 4 แชมป์จนถึงช่วงสุดท้ายของฤดูกาล แม้ว่าที่สุดแล้วจะผิดหวัง เพราะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ยอมปล่อยแชมป์พรีเมียร์ลีกที่พวกเขาต้องการมากที่สุดก็ตาม

 

แต่การที่ยังมีโอกาสคว้าแชมป์ใบที่ 3 ในฤดูกาลนี้ และเป็นถ้วยใหญ่อย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกก็ถือเป็นรางวัลปลอบใจที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่ต่างอะไรจากในฤดูกาล 2018/19 ที่พลาดแชมป์ลีก แต่สุดท้ายก็ได้แชมป์ยุโรป

 

ในบรรดานักเตะทั้งหมดของคล็อปป์ 2 คนที่มีเรื่องราวน่าสนใจมากเป็นพิเศษในเกมนี้คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ ซาดิโอ มาเน ที่เป็นตัวเอกในแนวรุกของทีม

 

ซาลาห์มี ‘ปม’ ในเหตุการณ์นัดชิงเมื่อปี 2018 ที่ถูก เซร์คิโอ รามอส เล่นนอกเกมจนไหล่บาดเจ็บและต้องออกจากสนามทั้งน้ำตาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกของเกม และทีมก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ด้วย ซึ่งนั่นทำให้เมื่อรู้ว่าเรอัล มาดริด ผ่านแมนฯ ซิตี้ เข้าชิงได้ สตาร์ชาวอียิปต์จึงบอกว่า “มีแค้นต้องชำระ”

 

ขณะที่มาเนกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาเพราะคำบอกใบ้ปริศนาเกี่ยวกับอนาคตที่เริ่มมีกระแสข่าวหนักข้อว่า เขาจะอำลาลิเวอร์พูลหลังจบฤดูกาลนี้แบบไม่มีใครคาดฝัน และทำให้เกมนี้อาจเป็นเกมนัดสุดท้ายของสตาร์ชาวเซเนกัล

 

ราชันชุดขาวผู้เป็นอมตะ

ว่ากันตามตรง ไม่มีใครคาดหวังว่า คาร์โล อันเชล็อตติ จะนำเรอัล มาดริด กลับมายืนตรงจุดนี้ได้เลยในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล

 

ราชันชุดขาวถูกมองในฐานะทีมคนแก่ที่ผสมไปด้วยเด็กที่ยังโตไม่พอจะรับผิดชอบทีมได้ แม้กระทั่ง ซีเนดีน ซีดาน ก็ยังช่วยไม่ไหว แต่เมื่อ ‘คาร์เล็ตโต’ กลับมาสู่ซานติอาโก เบร์นาเบว อีกครั้งตามคำชวนของประธานสโมสร ฟลอเรนติโน เปเรซ กุนซือชาวอิตาเลียนก็เปลี่ยนแปลงทีมนี้ให้กลายเป็นทีมที่ดีอย่างเหลือเชื่อ

 

โดยเฉพาะคู่หูต่างวัยอย่าง คาริม เบนเซมา และ วินิซิอุส จูเนียร์ ที่ตลอดฤดูกาลจับคู่ยิงรวมกันได้ 65 ประตู กับอีก 38 แอสซิสต์ ซึ่งกลายเป็นทีเด็ดที่ทำให้พวกเขาได้แชมป์ลาลีกาในฤดูกาลนี้ และมากกว่านั้นคือการเข้ามาถึงรอบชิงแชมเปียนส์ลีกได้

 

ทั้งๆ ที่ตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะตั้งแต่รอบน็อกเอาต์มา เรอัล มาดริด เจอทีมระดับเต็งแชมป์ตลอด ไม่ว่าจะเป็นปารีส แซงต์ แชร์กแมง, เชลซี หรือแมนฯ ซิตี้ และตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองโดยตลอด แต่สุดท้ายก็โกงความตายกลับมาพลิกเข้ารอบได้อย่างน่าเหลือเชื่อเสมอ

 

ราวกับว่ามนตร์ขลังของชุดขาวจะส่งพลังแรงกล้าเป็นพิเศษยามเมื่อลงสนามรายการนี้

 

และนั่นทำให้พวกเขาเชื่อว่าพวกเขามีโอกาสจะเป็นผู้ชนะอีกครั้งในคืนนี้

 

สองทีมบนสไตล์ที่แตกต่าง

สิ่งที่เราคาดหวังได้ในเกมที่สตาดเดอฟรองซ์คือ การช่วงชิงเหลี่ยมของทั้งสองทีมที่เล่นในแนวทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ลิเวอร์พูลในเวลานี้คือหนึ่งในทีมที่เล่นเกมรุกได้ดุดันที่สุดในโลก ฟุตบอลเพรสซิงของพวกเขาบดขยี้คู่แข่งได้เสมอ และสามารถสร้างโอกาสได้มากมายจากเกมริมเส้นของฟูลแบ็กอย่าง แอนดี โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เพื่อให้กองหน้าอย่างซาลาห์, มาเน หรือ หลุยส์ ดิอาซ หาโอกาสทำประตู และนั่นเป็นสิ่งที่เราน่าจะได้เห็นอย่างแน่นอน

 

แต่เรอัล มาดริด ก็พิสูจน์ความตายยากให้เห็น กับเกมรับที่เหมือนจะมีรูโหว่ แต่เอาเข้าจริงก็เจาะได้ไม่ง่าย และสิ่งสำคัญคือนักเตะของพวกเขาเต็มไปด้วยประสบการณ์อันสูงส่ง โดยเฉพาะนักเตะอย่าง เบนเซมา, ลูกา โมดริช, โทนี โครส และ คาเซมิโร ที่นำทีมพิชิตชัยมานักต่อนัก

 

มาดริดอาจเป็นรองคู่แข่งในเกม แต่ถึงจังหวะชี้เป็นชี้ตายพวกเขามีทีเด็ดที่เหลือเชื่อเสมอ ซึ่งตลอดเส้นทางที่ผ่านมาเราได้เห็นตลอด และแม้กระทั่งทีมที่แกร่งและเก่งที่สุดอย่างแมนฯ ซิตี้ ก็ยังเสียท่าให้แก่พวกเขาได้ ซึ่งหมายความว่าหากลิเวอร์พูลเผลอ ต่อให้เป็นช่วงท้ายเกมก็อาจพ่ายได้เลยเช่นกัน

           

พระเอกของเกมนี้

สำหรับลิเวอร์พูลย่อมหนีไม่พ้น ‘โม ซาลาห์’ ที่แม้ผลงานในช่วงปี 2022 จะตกลงอย่างมาก แต่การคว้ารางวัลดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกรวมถึงการทำแอสซิสต์สูงสุดของฤดูกาล บวกกับแรงแค้นส่วนตัวจากแผลเก่าในปี 2018 ก็ทำให้ดาวยิงชาวอียิปต์คือนักเตะที่ต้องจับตามองในเกมนี้

 

และแน่นอนอีกฟากย่อมหนีไม่พ้น ‘เบนเซมา’ ซึ่งว่ากันว่าเป็นกองหน้าที่เก่งที่สุดเทียบเท่ากับ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ในช่วง 2 ปีนี้ เพราะแม้วัยจะล่วงเข้า 34 ปีแล้ว แต่สภาพร่างกายยังยอดเยี่ยม และประสบการณ์การเล่น ฝีเท้าที่ถูกขัดเกลาจนเข้าขั้นบรรลุ ทำให้เขาสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

 

จุดที่อาจตัดสินเกมนี้ได้

นอกเหนือจากการดวลกันของพ่อพระเอกทั้งสองทีมแล้ว ยังมีอีกหลายจุดที่อาจชี้ขาดเกมนี้ได้

 

จุดแรกที่มีการพูดถึงอย่างมากคือ การดวลกันที่ริมเส้นระหว่าง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ วินิซิอุส จูเนียร์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสมรภูมิหลักของเกมแน่นอน เพราะลิเวอร์พูลหวังพึ่งการสร้างสรรค์จากแบ็กจอมบุกรายนี้เสมอ แต่ ‘วินิ’ คือปีกซ้ายที่อันตรายที่สุดในโลกเวลานี้

 

การช่วงชิงกันของคู่นี้จึงสำคัญ เพราะหากเทรนต์เผลอปล่อยให้สตาร์บราซิลที่ยกระดับฝีเท้าขึ้นมากในฤดูกาลนี้ได้โอกาสเมื่อไร อาจถึงขั้นเสียประตูได้ทันที และก็เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาแล้วด้วยในการพบกันเมื่อปีที่แล้ว แต่ในเวลาเดียวกัน ถ้าเทรนต์หยุดได้ (ซึ่งต้องหวังพึ่งกองกลางและซาลาห์ด้วย) ทำให้วินิซิอุสต้องถอยร่นไป ก็จะเป็นการตัดเกมรุกของมาดริดทันที


อีกจุดที่น่าสนใจคือแดนกลาง เพราะไม่ว่าจะเป็นนัดชิงในปี 2018 หรือ 2 นัดในรอบ 8 ทีมสุดท้ายฤดูกาล 2020/21 ลิเวอร์พูลไม่สามารถเอาชนะแดนกลางที่มีโมดริช, โครส และคาเซมิโร ได้เลย และนั่นทำให้สภาพความฟิตของฟาบินโญ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ติอาโก อัลกันตารา มีความสำคัญต่อเกมนี้มาก

 

รายหลังหากฟิตลงสนามได้จะช่วยแดนกลางของลิเวอร์พูลที่เชิงบอลอ่อนกว่าได้มาก

 

ขณะที่ความจัดจ้านของดิอาซก็น่าสนใจในการเจาะแบ็กขวาอย่าง ดานี การ์บาฆาล แต่ถ้าประมาทการเติมเกมรุกและการเปิดบอลของแบ็กวัย 30 ปีรายนี้ แมนฯ ซิตี้ ก็น้ำตาร่วงมาแล้ว

FYI
  • ถ้าลิเวอร์พูลชนะ จะเป็นแชมป์สมัยที่ 7 ของสโมสร แต่ถ้าเรอัล มาดริด ชนะ จะเป็นแชมป์สมัยที่ 14
  • คาร์โล อันเชล็อตติ มีโอกาสจะลุ้นเป็นคนแรกที่ได้โทรฟี่แชมเปียนส์ลีกเป็นสมัยที่ 4 (ก่อนนี้ เอซี มิลาน 2003, 2007 และเรอัล มาดริด 2014)
  • ลิเวอร์พูลและเรอัล มาดริด จะใส่ชุดเหย้าลงสนามทั้งสองทีม
  • นี่จะเป็นนัดชิงครั้งแรกที่แฟนฟุตบอลจะได้กลับเข้าชมเกมแบบเต็มความจุนับตั้งแต่ในปี 2019 หลังเจอโรคระบาดโควิด
  • นอกเหนือจากการพบกันในนัดชิง 2 ครั้งแล้ว ลิเวอร์พูลกับเรอัล มาดริด เจอกันในรายการนี้มาอีก 6 ครั้ง และผลงานลิเวอร์พูลชนะ 2 เสมอ 1 และแพ้ 3
  • ผู้ตัดสินในเกมนี้คือ เคลมองต์ ตูร์ปิน ชาวฝรั่งเศส
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising