สิ่งที่หลายฝ่ายกังวลใจก่อนหน้าสงครามสีแดงระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเริ่มต้นขึ้นนั้น สุดท้ายแล้วเกิดขึ้นจริงจนได้ครับ
เมื่อตลอด 90 นาทีที่แอนฟิลด์ เหล่าขุนพล ‘ปีศาจแดง’ ถูกทำให้อับอาย กลายเป็นผู้แพ้โดยปราศจากข้อสงสัย ทั้งเจ็บและขมขื่นในเวลาเดียวกัน ด้วยน้ำมือของ ‘หงส์แดง’ คู่ปรับตลอดกาล ที่เวลานี้เปลี่ยนสถานะจากผู้ตามเป็นผู้นำ และนำห่างในระยะทางที่ไกลขึ้นเรื่อยๆ
ลิเวอร์พูลไม่ได้ทิ้งห่างแค่เพียง 19 คะแนนบนตาราง แต่ยังนำห่างในหลายๆ ด้านอย่างรู้สึกได้
ความจริงแล้วเกมแดงเดือดนัดแรกของฤดูกาล 2018/19 ควรน่าจะมีสีสันมากขึ้น เมื่อก่อนลงสนาม ลิเวอร์พูลประสบปัญหาขาดแคลนผู้เล่นในแนวรับหลายรายพร้อมกันทั้งโจ โกเมซ, โจเอล มาทิป และเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำให้ความแตกต่างระหว่างทั้งสองทีมดูจะลดน้อยลงไปตามลำดับ
หลายคนยังเชื่อว่า โฆเซ มูรินโญ น่าจะมี ‘ทริก’ ที่จะทำลายบรรยากาศแห่งความสุขของลิเวอร์พูลได้เหมือนทุกครั้ง ไม่ว่าจะแดงเดือด 4 ครั้งก่อนหน้านี้ หรือกับการถล่มงานปาร์ตี้ชั่วชีวิตในวันที่นำเชลซี บุกมาเอาชนะลิเวอร์พูล ที่กำลังลุ้นแชมป์ได้ถึงแอนฟิลด์เมื่อฤดูกาล 2013/14 (ใช่ครับ วันที่ สตีเฟน เจอร์ราร์ด ลื่นล้มนั่นแหละ)
แต่เมื่อถึงคราวลงสนามจริง สิ่งที่เราได้เห็นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่อ่อนแอเกินกว่าจะสร้างปัญหาให้กับลิเวอร์พูล ที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ตำแหน่งจ่าฝูงของพวกเขาโดยที่ยังไม่แพ้ใครนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
หงส์แดงไม่เพียงแต่แกร่งทั่วแผ่น พวกเขายังเล่นแบบคนมีใจ มีความเชื่อ ทั้งเชื่อในความสามารถของตัวเองและความสามารถของทีม รวมถึงความสามารถของผู้จัดการทีม และทั้งหมดคือต้นกำเนิดพลังที่น่าเหลือเชื่อ
แม้กระทั่งเดอะ ค็อปเอง หากบอกก่อนเปิดฤดูกาลว่า ทีมของพวกเขาจะไม่แพ้ใครใน 17 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก คนกล่าวนั้นอาจจะถูกมองว่าไม่เต็มเต็ง
ในอีกด้าน ภาพของยูไนเต็ดในวันนี้ กลายเป็นภาพที่แตกต่างจากการพบกันครั้งล่าสุดที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งวันนั้นแม้ลิเวอร์พูลจะอยู่ในช่วงผลงานที่ร้อนแรงอย่างน่ากลัว แต่พวกเขาก็กลายเป็นแค่นกสีแดงตัวเล็กๆ ที่เต้นระบำอยู่บนมือของปีศาจ
วันนั้น 2 ประตูของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ทำให้พวกเขาคว้าชัยชนะได้ด้วยฟอร์มการเล่นที่น่าประทับใจ พวกเขาดูเหนือกว่าทั้งในเชิงของฝีเท้าและประสบการณ์
แต่ผ่านมาไม่กี่เดือน ยูไนเต็ด ณ เข็มนาฬิกาเดินไป กลายเป็นทีมที่ไร้เขี้ยวเล็บ ไร้พลัง หรือหากพูดให้ตรงกว่านั้นคือไร้อนาคต
ความแตกต่างที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากอะไร?
เหตุผลขั้นพื้นฐานที่สุดที่ปฏิเสธไม่ได้คือผู้จัดการทีมครับ
สำหรับลิเวอร์พูล พวกเขาโชคดีที่ได้คนซึ่งมี ‘เคมีตรงกัน’ ทุกอย่างเช่น เจอร์เกน คล็อปป์ ตอบตกลงมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมให้ และกลายเป็นผู้จัดการทีมในฝันสำหรับเดอะ ค็อป ด้วยสไตล์การทำงานที่เต็มไปด้วยพลังบวก รอยยิ้มที่มาพร้อมกับอ้อมกอดที่อบอุ่น เช่นเดียวกับมันสมองระดับท็อป ที่มาพร้อมกับการบริหารจัดการที่เด็ดขาด
มากกว่านั้นคือเรื่องของวิสัยทัศน์ ซึ่งคล็อปป์เป็นหนึ่งในตัวแทนของโค้ชสมัยใหม่ที่เรียนรู้วิธีการบริหารจัดการทีมแบบ Modern Management ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำให้งานของเขาที่แอนฟิลด์ประสบความสำเร็จ
อาจจะไม่ใช่ความสำเร็จใหญ่ด้วยการคว้าโทรฟี แต่ทุกสิ่งที่เขาทำจากวันแรกถึงวันนี้ก็นับเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว
มูรินโญกับยูไนเต็ดกลายเป็นเรื่องราวที่ตรงกันข้าม เมื่อ The Special One ไม่มีอะไรที่เข้ากับยูไนเต็ดได้สักอย่าง ไม่ว่าจะสไตล์การเล่น สไตล์การทำงาน สไตล์การคุมทีม หรือแม้แต่เรื่องของอุปนิสัยที่ไม่มีพลังบวก รังแต่คิดจะบวกกับคนอื่นไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือพวกเดียวกันเองอย่างลูกทีมก็ตาม
ความสามารถของกุนซือชาวโปรตุเกสนั้น อย่างไรเสียก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่ายอดเยี่ยมในระดับเคยเป็น ‘ปรากฏการณ์’ ของโลกฟุตบอลมาก่อน แต่ถึงตรงนี้ผมคิดว่าเราน่าจะพูดได้เต็มปากแล้วว่าเขาได้สูญเสียสัมผัสพิเศษบางอย่างในการคุมทีมไปแล้ว
การล่มสลายมันเริ่มจากฤดูกาลสุดท้ายของเขากับเชลซีในยุคสมัยที่ 2 (จุดเริ่มต้นคือข่าวฉาวการทะเลาะกับแพทย์หญิงของทีมอีวา คาไนโร) จากนั้นกับยูไนเต็ดเองเขาก็ไม่สามารถนำทีมให้กลับมายืนอยู่บนจุดสูงสุดได้ ทั้งๆ ที่หากมองย้อนกลับไปในฤดูกาลที่แล้ว เขาเองก็ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าบางทียูไนเต็ดอาจจะกลับมา
มันเลยนำไปสู่เหตุผลข้อต่อมาที่ชัดเจนมากว่ายูไนเต็ดในวันนี้ทำได้ไม่ดีเท่าคู่แข่งอย่างลิเวอร์พูล
เหตุผลที่ว่าคือ เรื่องของทีมบริหารที่เห็นความแตกต่างกันชัดระหว่าง เอ็ด วูดเวิร์ด กับ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส
ฝ่ายหนึ่งทำงานกับผู้จัดการทีมได้ไม่ลงรอย มีความเห็นแตกต่าง และมีการถ่วงดุลในเกมแห่งอำนาจ จนทำให้สุดท้ายผลเสียตกอยู่กับทีมที่ขาดการพัฒนาต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่มูรินโญก็นำยูไนเต็ดกลับมาอยู่ในร่องในรอยได้แล้วเมื่อฤดูกาลก่อน
อีกฝ่ายอย่าง ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส เลือกจะทำงานอยู่หลังฉากเงียบๆ มีการพูดคุยหารือกับคล็อปป์และทีมงานที่เกี่ยวข้องตลอดเวลา โดยพวกเขาจะแชร์วิสัยทัศน์ให้เห็นภาพเดียวกันว่าเป้าหมายอยู่ตรงไหน และทำอย่างดีที่สุดเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายนั้น
ผลงานของเอ็ดเวิร์ดสคือ การนำเงินจากการขายคูตินโญให้บาร์เซโลนา นำมาเปลี่ยนเป็น เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, อลิสซัน รวมถึงในฤดูกาลนี้กับนักเตะอย่าง นาบี เกอิตา (เซ็นล่วงหน้า), ฟาบินโญ และขวัญใจคนใหม่อย่าง เชร์ดาน ชากิรี
ไม่นับการจับนักเตะแกนหลักต่อสัญญาใหม่ได้ทุกคน โดยเฉพาะคนสำคัญอย่าง 3 ประสานแนวรุก SMF โมฮัมเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต เฟอร์มิโน และซาดิโอ มาเน
เอ็ดเวิร์ดสยังได้รับเสียงชื่นชมจากข้อตกลงพิเศษในการขายคูตินโญว่า บาร์ซาจะไม่มีสิทธิ์เข้ามาเจรจาซื้อผู้เล่นลิเวอร์พูลอีกภายในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งเป็นการทำธุรกิจที่ยอดเยี่ยมอย่างเหลือเชื่อ
ขณะที่การสนับสนุนจากเจ้าของสโมสรเองก็สำคัญ ซึ่ง จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี ในฐานะเจ้าของทีมลิเวอร์พูล ดูจะเข้าใจในเกมฟุตบอลมากกว่าครอบครัวเกลเซอร์ของยูไนเต็ด ทั้งที่ฝ่ายหลังเข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้นานกว่าหลายปีก็ตาม
มันทำให้ภาพโดยรวมของลิเวอร์พูลนั้นดูดีกว่า ถูกทางกว่า และชัยชนะเหนือยูไนเต็ดที่แอนฟิลด์เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ก็ไม่ต่างอะไรจากรางวัลของความพยายามที่ยิ่งใหญ่
ชัยชนะหมดจดที่ได้มาเพราะการทำงานหนักของทุกฝ่ายในสโมสรอย่างแท้จริง และไม่มีอะไรจะน่ายินดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว
การที่นักเตะที่เคยถูกปรามาสในวันย้ายทีมมาอย่างชากิรี เพราะย้ายมาจากทีมเล็กอย่างสโตกซิตี สามารถลงสนามมาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ภายในเกมได้ด้วยการทำคนเดียวถึง 2 ประตู ดับความหวังของยูไนเต็ดที่ดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อยหลังตีเสมอแบบมีโชคเข้าข้าง มันแทนคำตอบอะไรบางอย่าง
เช่นกันกับการที่ พอล ป็อกบา อดีตนักฟุตบอลเจ้าของค่าตัวแพงที่สุดในโลกเมื่อ 2 ปีก่อน ต้องนั่งหนาวบนม้านั่งสำรองตลอดทั้งเกมก็แทนคำตอบอะไรบางอย่างในทางตรงข้ามกัน
ปฏิเสธไม่ได้แล้วจริงๆ ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังตกต่ำ และตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการจะกลายเป็นทีมยักษ์ใหญ่ที่ยากจะกลับมาผงาดในวงการฟุตบอลอังกฤษอีกครั้ง
มันอาจเป็นวัฏจักรที่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขามาแล้ว และเคยเกิดกับลิเวอร์พูล อดีตคู่แข่งที่เคยร่วงหล่นหลังตะแคงฟ้ายุโรป ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องที่เราเข้าใจได้ครับ
เพียงแต่การจะหวนกลับไปสู่ความสำเร็จอีกครั้ง พวกเขาจำเป็นต้องเร่งจัดการทำอะไรสักอย่าง เพื่อที่จะไม่ให้สายจนเกินไป เพราะพื้นฐานของพวกเขายังแข็งแกร่ง และการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่จำเป็นสามารถทำให้พวกเขากลับมาผงาดได้ไม่ยาก
การปลดมูรินโญ ผู้เป็นศูนย์กลางของปัญหาทั้งหมดของทีมนับตั้งแต่พรีซีซันของฤดูกาลปัจจุบัน เป็นหนึ่งในสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ และสามารถทำได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องรอให้จบฤดูกาล
เพราะวันนี้ชัดเจนแล้วว่า พวกเขาดำดิ่งลงในความมืดมนอนธการ และเป็นไปได้ที่จะถึงจุดต่ำที่สุดแล้ว
สิ่งสำคัญอยู่ที่เมื่อถึงจุดต่ำที่สุดแล้ว สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นต่อไปคือ การค่อยๆ กลับคืนสู่แสงสว่างอีกครั้ง
เพียงแต่จะกลับมาได้ช้าหรือเร็ว มิใช่ฟ้าที่กำหนด หากแต่เป็นฝ่ายบริหารของสโมสรที่ต้องเลือกเองว่า พวกเขาอยากให้ทุกอย่างดำเนินไปแบบไหน โดยหัวใจสำคัญบางทีอาจอยู่ที่การเฟ้นหา ‘คนที่ใช่’ เหมือนที่ลิเวอร์พูลได้พบกับคล็อปป์
ขณะที่เดอะ ค็อปยังอยากเห็นมูรินโญทำงานต่อไป ถึงขั้นร่วมร้องเพลงว่า “Don’t sack Mourinho” กันในช่วงสุดท้ายของเกม
โดยที่พวกเขาหมายความเช่นนั้นจริง แม้จะเป็นเรื่องจริงที่เจ็บปวดสำหรับคู่แข่งตลอดกาลก็ตาม
ภาพ: Liverpool FC, Reuters
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- ชัยชนะในเกมแดงเดือดของลิเวอร์พูลครั้งนี้ ทำให้พวกเขายืดสถิติไร้พ่ายในลีกออกไปเป็นเกมที่ 17 ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรยุคพรีเมียร์ลีก
- ในทางตรงกันข้าม ความปราชัยของยูไนเต็ด ทำให้พวกเขาทำผลงานใน 17 เกมแรกได้เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 1990-1991 (ปีนั้นทำได้แค่ 26 คะแนนเท่านั้น) โดยพวกเขาเสียถึง 29 ประตู เป็นจำนวนที่มากกว่าจำนวนประตูที่เสียในฤดูกาลที่แล้วตลอดฤดูกาล (28)
- เจอร์เกน คล็อปป์ คว้าชัยชนะเหนือ 26 ทีมที่เคยพบในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ หลังก่อนหน้านี้สถิติบกพร่อง เพราะไม่เคยชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเลย
- โรเมลู ลูกากู สัมผัสบอลได้แค่ 20 ครั้งในเกมนี้ เป็นจำนวนที่น้อยที่สุดที่เขาเคยทำได้ โดยมีแค่ 4 ครั้ง ที่เป็นการสัมผัสบอลในเขตโทษ
- ฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ทำให้มูรินโญยอมรับว่า แค่ดูเขาก็เหนื่อยแทนแล้ว
- การถ่ายทอดสดระหว่างเกมมีการตัดภาพสีหน้าผิดหวังของ เอ็ด วูดเวิร์ด, เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (ที่อุตส่าห์เข้ามาชมเกม) และ เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ซึ่งมีการกระซิบคุยกันด้วย