×

ฟางเส้นสุดท้ายของ ‘ลิโอเนล เมสซี’ กับเหตุผลที่จะตีจากบาร์เซโลนา

03.07.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • ข่าวจากสถานีวิทยุ Cadena SER สถานีวิทยุสเปน สร้างความตกตะลึงให้แก่วงการฟุตบอลสเปน โดยรายงานข่าวระบุว่า ราชาลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ตัดสินใจที่จะล้มเลิกการเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่กับบาร์ซาออกไป หลังสัญญาฉบับปัจจุบันเหลือเวลาเพียงแค่ถึงปี 2021 เท่านั้น
  • ปัญหากับบอร์ดบริหารเป็นสาเหตุสำคัญ โดยชนวนระเบิดเกิดขึ้นจากการที่ เอริก อบิดัล ผู้อำนวยการสโมสร ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมทีมของเมสซีมาตั้งแต่ราชาลูกหนังยังเป็นวัยรุ่น ได้มีการพาดพิงถึงบรรดาผู้เล่นบาร์ซาว่าไม่ตั้งใจเล่นกัน จนนำไปสู่การตัดสินใจของทีมที่จะปลด เอร์เนสโต บัลเบร์เด
  • อีกสิ่งที่เมสซีเริ่มรับไม่ไหวคือเรื่อง ‘คุณภาพ’ ของผู้เล่นในทีมที่ไม่ดีพอที่จะทำให้เขาไปสู่เป้าหมายในการคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกอีกสมัย

ถึงแม้ว่าจะตั้งปณิธานในการเป็นตำนานสโมสรผู้ยิ่งใหญ่ที่จะอยู่รับใช้บาร์เซโลนาเพียงสโมสรเดียวตลอดไป แต่ดูเหมือนเวลานี้ขีดความอดทนของ ลิโอเนล เมสซี กับสถานการณ์ในคัมป์นูกำลังจะหมดลง และเขาอาจจะตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด


ข่าวจากสถานีวิทยุ Cadena SER สถานีวิทยุสเปน สร้างความตกตะลึงให้แก่วงการฟุตบอลสเปน โดยรายงานข่าวระบุว่า ราชาลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ตัดสินใจที่จะล้มเลิกการเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่กับบาร์ซาออกไป หลังสัญญาฉบับปัจจุบันเหลือเวลาเพียงแค่ถึงปี 2021 เท่านั้น

 

รายงานข่าวนี้ไม่ช่วยให้สถานการณ์อะไรของบาร์ซาดีขึ้น หลังจากที่ทีมประสบปัญหาอย่างหนักในสนาม พวกเขาพลาดท่าเสมอ 3 จาก 4 นัดหลังสุดจนทำให้โดนเรอัล มาดริด จากตามหลังเป็นแซงนำไปแล้ว 4 แต้ม และเหลือเกมการแข่งขันอีกเพียงแค่ 5 นัดเท่านั้น

 

เรียกได้ว่าความหวังจะป้องกันแชมป์ในฤดูกาลนี้เหลือน้อยลงเต็มที เพราะพวกเขาจะแซงกลับมาได้นั้นหมายถึงการที่ทีม ‘ราชันชุดขาว’ ต้องสะดุดอย่างน้อย 2 นัด ซึ่งจากฟอร์มการเล่นที่ปรากฏแล้วเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะทีมของ ซีเนดีน ซีดาน กำลังเล่นได้อย่างลงตัว

 

ตรงข้ามกับบาร์ซาที่เต็มไปด้วยปัญหา ซึ่งจากระดับของบอร์ดบริหารแล้วตอนนี้ปัญหาลุกลามมาถึงภายในทีมโดยเฉพาะ กีเก้ เซเตียน โค้ชคนล่าสุดที่กำลังตกอยู่ในความกดดันอย่างหนัก เนื่องจากลูกทีมไม่ให้ความเชื่อถืออีกต่อไป จากการตัดสินใจต่างๆ รวมถึงการไร้ความสามารถในการบริหารจัดการทีมใหญ่อย่างบาร์ซา

 

เมสซีในวัย 33 ปีที่พยายามอย่างสุดกำลังความสามารถแล้ว ล่าสุดเป็นผู้ยิงจุดโทษให้ทีมในเกมเสมอกับแอตเลติโก มาดริด 2-2 ซึ่งเป็นประตูที่ 700 ในชีวิตการเล่น เริ่มรู้สึก ‘ทนไม่ไหว’ กับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีหลังที่เต็มไปด้วยความผิดพลาด

 

 

และนั่นทำให้คนขี้อายอย่างเขาตัดสินใจจะลุกขึ้นสู้ โดยที่การต่อสู้นั้นรุนแรงและหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ( thestandard.co/lionel-messi-barcelona/)

 

ปัญหากับบอร์ดบริหารเป็นสาเหตุสำคัญ โดยชนวนระเบิดเกิดขึ้นจากการที่ เอริก อบิดัล ผู้อำนวยการสโมสร ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมทีมของเมสซีมาตั้งแต่ราชาลูกหนังยังเป็นวัยรุ่น ได้มีการพาดพิงถึงบรรดาผู้เล่นบาร์ซาว่าไม่ตั้งใจเล่นกัน จนนำไปสู่การตัดสินใจของทีมที่จะปลด เอร์เนสโต บัลเบร์เด โค้ชที่พาทีมเป็นแชมป์ทั้งๆ ที่พวกเขายังเป็นผู้นำของตารางอันดับลาลีกาในเดือนมกราคม

 

เรื่องนี้เมสซีรับไม่ได้ และเปิดฉากโต้ตอบอย่างรุนแรงว่าฝ่ายบริหารพยายามโยนความผิดให้กับนักเตะในทีมและลอยตัวจากปัญหาที่ตัวเองก่อแต่ไม่รู้จักแก้ไข (thestandard.co/barcelona-crucial-when-messi-react-to-club-director/)

 

ปัญหาที่บอร์ดบริหารก่อไว้คือ การที่พวกเขาตัดสินใจปลดบัลเบร์เด ซึ่งไม่ได้รับความนิยมในหมู่แฟนบอล (ขณะที่เมสซีมีรายงานข่าวว่าพยายามที่จะขอให้รั้งตัวเอาไว้ก่อน) โดยที่ไม่มีการวางตัวโค้ชคนใหม่เอาไว้แบบชัดเจน

 

ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ซึ่งบาร์ซาควรที่จะบริหารจัดการด้วยความรัดกุม

 

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ฝ่ายบริหารล้มเหลวในการติดต่อเจรจากับทั้ง โรนัลด์ คูมัน อดีตตำนานของทีม รวมถึงถูก ชาบี เอร์นานเดซ ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของคัมป์นูปฏิเสธที่จะกลับมาช่วยด้วยเหตุผลที่ชัดเจนคือ “ไม่ต้องการร่วมงานด้วยกับบอร์ดชุดนี้” (ซึ่งยังฉาวต่ออีกจากการที่มีข่าวจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ สร้างข่าวโจมตีตำนานสโมสรอย่างชาบี เมสซี และเป๊ป กวาร์ดิโอลา)

 

นั่นทำให้บาร์ซา ต้องหันไปหาเซเตียน โค้ชที่แม้จะเก่งและได้รับการยกย่องในปรัชญาการทำทีมที่ถอดแบบตำรับบาร์ซามาเป๊ะๆ แต่ก็ไม่เคยทำงานกับทีมใหญ่ที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์

 

สุดท้ายเซเตียนกำลังรับมือไม่ไหว และบาร์ซาไม่ต่างอะไรจากเรือลำใหญ่ที่มีรูใหญ่และตอนนี้เริ่มจมลงไปเรื่อยๆ โดยที่อุดรูรั่วไม่ทัน

 

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเดียว เพราะอีกสิ่งที่เมสซีเริ่มรับไม่ไหวคือเรื่อง ‘คุณภาพ’ ของผู้เล่นในทีมที่ไม่ดีพอที่จะทำให้เขาไปสู่เป้าหมายในการคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกอีกสมัย

 

โดยจุดที่เมสซีไม่พอใจก็ยังคงเป็นนโยบายในการหาผู้เล่นเข้ามาเสริมทัพปรับทีมของฝ่ายบริหารที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง 

 

ภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดอยู่ที่ 3 นักเตะที่บาร์ซาซื้อตัวมาร่วมทีมด้วยเงินมหาศาล

 

อองตวน กรีซมันน์ ไม่เคยเรียกฟอร์มเก่งได้เลย และในเกมล่าสุดกับทีมเก่า แอต. มาดริด เขาได้โอกาสลงเล่นเพียงแค่ 4 นัด จนทำให้ครอบครัวของดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศสถึงกับโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า “อยากร้องไห้”

 

โดยที่ต้องไม่ลืมว่าการคว้าตัวกรีซมันน์ก็เป็นเรื่องตลก เพราะปล่อยไก่กันไปตัวเบ้อเร่อทั้งบาร์ซาและตัวนักเตะเอง จนการย้ายทีมต้องล่าช้าไป 1 ปี เพราะโดนแอต. มาดริด ทำแสบเล่นงานกลับ

 

ลำดับต่อมาคือ อุสมาน เดมเบเล จากอดีตดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุด เวลานี้เขากลายเป็นตัวตลกที่เข้าห้องพยาบาลมากกว่าการลงมาเล่นในสนาม

 

ต่อมาคือ ฟิลิปเป คูตินโญ ที่ถูกคาดหมายว่าจะมาแทนที่ของ อันเดรส อิเนียสตา แต่สุดท้ายกระเด็นไปอยู่บาเยิร์น มิวนิก โดยที่ยังไม่มีใครที่สนใจจะคว้าตัวไปร่วมทีมแบบจริงจัง

 

เมสซีและอบิดัลมีปัญหากันอย่างรุนแรง

 

นักเตะอีกรายที่ถูกตั้งความคาดหวังเอาไว้สูงอย่าง อาร์ตูร์ เมโล ที่เป็นเงาของชาบี เอร์นานเดซ ในสไตล์บราซิลถูกปล่อยตัวให้กับยูเวนตุส โดยสลับขั้วกับมิราเลม เปยานิช ที่แม้จะเป็นหนึ่งในยอดมิดฟิลด์ของวงการ แต่วัยมากกว่าถึง 7 ปี (อาร์ตูร์ 23 ปีเท่านั้น) 

 

ขณะที่คนที่เมสซีต้องการอยากได้ตัวมาร่วมทีมมากที่สุดคือ เนย์มาร์ คนที่เคยถูกวางตัวเป็นผู้นำของทีมต่อจากสตาร์อาร์เจนตินา แต่สุดท้ายดาวเตะบราซิลตัดสินใจพลาดในการขอไปสร้างชื่อกับปารีส แซงต์ แชร์กแมง และติดกับดักชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส

 

โดยบาร์ซาเองก็ไม่พยายามมากพอที่จะคว้าตัวกลับมา ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่เมสซีผิดหวังกับบอร์ดบริหารมากที่สุดและผูกใจเจ็บมานาน

 

ด้านขุมกำลังคนอื่นๆ ในทีมที่ร่วมเล่นเคียงบ่าเคียงไหล่กันมานานอย่าง เคราร์ด ปิเก้ (33 ปี), เซร์คิโอ บุสเกตส์ (31), ฆอร์ดี อัลบา (31), อาร์ตูโร วิดัล (33), อิวาน ราคิติช (32) หรือ หลุยส์ ซัวเรซ (33) เองก็เริ่มโรยราลงไปทุกวัน

 

ครั้นจะมาฝากความหวังกับเด็กอย่าง อันซู ฟาตี ที่อายุแค่ 17 ปี หรือ แฟรงกี้ เดอ ยอง ที่ยังปรับตัวกับการเล่นในสเปนไม่ได้ก็ใช่เรื่อง

 

นั่นทำให้ทุกวันนี้เมสซีแทบจะแบกทีมอยู่คนเดียวโดยที่กำลังวังชาก็ไม่ได้สดเหมือนสมัยหนุ่มๆ

 

ปัญหาทั้งหมดกำลังนำไปสู่สถานการณ์ที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายของเมสซีกับบาร์เซโลนา

 

โดยเขาอาจจะกำลังคิดว่าหากสถานการณ์ต่างๆ ไม่ดีขึ้นจริง โดยเฉพาะการเลือกตั้งประธานสโมสรใหม่ที่เดิมมีกำหนดจะมีขึ้นในปีหน้า บางทีการย้ายทีมเพื่อไล่ล่าความสำเร็จในบั้นปลายชีวิตอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

 

เพราะต่อให้ไม่ได้อยู่กับสโมสรเดียวไปจนวันสุดท้าย แต่ชาบีหรืออิเนียสตาเองก็เคยเลือกทางแบบนี้มาก่อนเช่นกัน และเขาก็ยังคงได้รับการจดจำและได้รับความรักจากแฟนๆ เหมือนเดิมจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อทีม

 

เขายังเป็นสายเลือดของบาร์ซา และจะเป็นเสมอจนตาย

 

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า 

อ้างอิง:

FYI
  • ข่าวการปฏิเสธจะต่อสัญญาของเมสซี เข้าหูของ ซีเนดีน ซีดาน และทำเอาโค้ชราชันชุดขาวต้องออกมาขอร้องให้อยู่ต่อ เพราะอยากให้นักเตะที่เก่งที่สุดเล่นในสเปนต่อไป
  • เงินค่าเหนื่อยของเมสซีในระดับ ‘ครึ่งล้าน’ ยูโรต่อสัปดาห์ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้บาร์ซาประสบปัญหาทางการเงิน โดยรายจ่ายในส่วนค่าเหนื่อยของนักฟุตบอลสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของรายรับทั้งหมดที่มี
  • หลังจบเกมกับ แอต. มาดริด เมสซีเป็นคนแรกที่เดินกลับออกจากสนาม ขณะที่กรีซมันน์เดินกลับออกมาเป็นคนสุดท้าย โดยเพื่อนที่ดาวเตะฝรั่งเศสได้คุยด้วยคือเพื่อนเก่าในทีมตราหมี
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising