×

ลิโอเนล เมสซี เตรียมอำลาคัมป์นู? เจาะปัญหาบาร์เซโลนากับวิกฤตครั้งใหญ่ที่อาจนำไปสู่จุดจบที่ไม่คาดคิด

07.02.2020
  • LOADING...

การออกมาเปิดฉากตอบโต้ของ ลิโอเนล เมสซี ต่อคำสัมภาษณ์ของ เอริก อบิดัล ผู้อำนวยการสโมสรฝ่ายกีฬาของสโมสรบาร์เซโลนา กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่เขย่าวงการฟุตบอลทันที เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ความขัดแย้งภายในคัมป์นูได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ

 

แน่นอนว่า เมื่อราชาลูกหนังแสดงความไม่พอใจออกมาขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้เกิดคำถามตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ เรื่องอนาคตของเมสซีว่าจะยังคงอยู่ช่วยบาร์เซโลนาต่อไป หรือเจ้าของบัลลงดอร์ 6 สมัย จะตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการอำลาบาร์ซาไปหลังจบฤดูกาลนี้

 

แล้วอะไรกันแน่คือปัญหาที่แท้จริงภายในทีม ยังพอมีโอกาสจะหาทางออกได้ไหม

 

เสียงคำรามของเมสซีเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง

หลังสิ้นเสียงคำรามของเมสซี สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ การตกรอบโคปา เดล เรย์ ของบาร์ซา ด้วยการพ่ายต่อแอธเลติก บิลเบาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ จากประตูโทนของ อินากิ วิลเลียมส์ และทำให้สถานการณ์ดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก

 

สีหน้าของเมสซีหลังจบเกมกลายเป็นภาพที่สะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในทีมได้เป็นอย่างดีว่า บาร์เซโลนาเป็นทีมที่มีปัญหาในทุกจุด และความขัดแย้งระหว่างเขากับอบิดัลเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งแห่งปัญหาที่หยั่งรากฝังลึกมาอย่างยาวนาน 

 

ในสนามผลงานของบาร์ซาเหมือนจะน่าพอใจ กับความสำเร็จในการคว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัยต่อเนื่องในฤดูกาล 2017/18 และ 2019 

 

แต่ในวงในแล้วมันเป็นเพียงแค่ความสำเร็จที่ฉาบฉวย

 

สิ่งที่แฟนบาร์เซโลนิสตารู้สึกมาโดยตลอดคือ ทีมนั้นล้มเหลว โดยเฉพาะในเวทียุโรป พวกเขาถูกหยุดเส้นทางในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนฟุตบอลคาดหวังสูงสุดไว้เพียงแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย จาก 3 ใน 4 ปีฤดูกาลหลังสุด

 

โดยเฉพาะความเจ็บปวดที่ต้องพ่ายต่อโรมาและลิเวอร์พูล ตกรอบแบบเหลือเชื่อทั้งที่กำชะตาทุกอย่างเอาไว้ในมือ แต่กลับปล่อยให้เกิดปาฏิหาริย์ซ้ำซ้อนเป็นสิ่งที่แฟนฟุตบอลรับไม่ได้

อย่างไรก็ดี ในความรู้สึกผู้เล่นในทีม โดยเฉพาะในกลุ่มนักฟุตบอลระดับอาวุโสของทีมที่นำโดยเมสซี ผลงานในสนามก็เป็นเครื่องสะท้อนถึงความล้มเหลวในการบริหารของผู้บริหารสโมสร

 

คนที่เป็นโจทก์คนแรกที่เป็นเป้าชัดที่สุดคือ อบิดัล ในฐานะผู้อำนวยการสโมสรที่เป็นคนคุมในเรื่องของการจัดซื้อจัดหาผู้เล่น

 

จุดที่เป็นจุดเปลี่ยนของทุกสิ่งคือ การที่บาร์ซาเสียเนย์มาร์ หนึ่งในซูเปอร์สตาร์คนสำคัญ และเป็นหนึ่งใน ‘คนสนิท’ ของเมสซีให้กับปารีส แซงต์ แชร์กแมง เมื่อปี 2017 ซึ่งนอกจากจะเป็นการย้ายทีมที่เขย่าวงการฟุตบอลโลกแล้วยังเป็นการเขย่าเสถียรภาพของยักษ์ใหญ่แห่งคาตาลันอย่างรุนแรง

 

การเสียเนย์มาร์ และไม่สามารถดึงกลับมาได้ ทำให้เมสซีผิดใจกับบอร์ดบริหารบาร์เซโลนา

 

การจากไปของเนย์มาร์ ทำให้ฝ่ายบริหารจำเป็นต้องหานักเตะเพื่อทดแทนรูโหว่ขนาดยักษ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็น ‘หายนะ’ ของทีม เนื่องจากนักเตะที่บาร์ซาซื้อเพื่อหวังจะมาทดแทนเนย์มาร์นั้นไม่มีใครที่สามารถทดแทนได้แม้แต่น้อย

 

ไม่ว่าจะเป็น อุสมาน เดมเบเล ที่ซื้อมาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยค่าตัว 112 ล้านปอนด์ ต่อด้วย ฟิลิปป์ คูตินโญ ที่กระชากตัวมาจากลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 130 ล้านปอนด์ และ มัลคอล์ม จากบอร์กโดซ์ ค่าตัว 36 ล้านปอนด์

 

นอกจากนี้บาร์ซายังเสียหน้าจากกรณีการล่าตัว อองตวน กรีซมันน์ ที่ชะล่าใจคิดว่าไม่น่ามีปัญหา แต่สุดท้ายกลับถูกนักเตะพลิกเกมด้วยการประกาศอยู่กับทีมต่อไป ก่อนจะกลับคำอีกครั้งในปีต่อมา และทำให้บาร์ซาต้องกลับมาล่าตัวอีกครั้ง และทำให้เกิดปัญหากับแอตเลติโก มาดริด

 

เรียกว่ากว่าจะได้ตัวดาวยิงทีมชาติฝรั่งเศสมาร่วมทีมก็ต้องเสียหน้าหลายครั้ง

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาคือ นักเตะที่ถูกซื้อตัวมานั้นไม่ใช่นักเตะที่เมสซีต้องการ เพราะนักเตะคนเดียวที่ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ต้องการ จนถึงขั้นออกแรงผลักดันตั้งแต่ออกแรงอยู่เบื้องหลัง จนถึงการออกมากระตุ้นอยู่เบื้องหน้าคือ เนย์มาร์

 

แต่ปัญหาคือ อบิดัลและฝ่ายบริหารไม่สามารถที่จะนำตัวกองหน้าชาวบราซิลกลับมาได้ 

 

เรื่องนี้ทำให้เมสซีผิดหวังอย่างมาก จนถึงกับตั้งคำถามว่า “ผมไม่รู้ว่าพวกเขาพยายามทำเต็มที่แล้วหรือยัง”

 

จนมาถึงสิ่งที่เป็นชนวนระเบิดของสงครามกลางเมืองคือ การที่อบิดัลมีการพูดพาดพิงถึงผู้เล่นบาร์ซาในเชิงตั้งคำถามว่า ผู้เล่นไม่ได้ทำผลงานอย่างเต็มที่ และนำไปสู่การปลดบัลเบร์เดจากตำแหน่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

 

เรื่องนี้ทำให้เมสซีไม่พอใจอย่างมาก จนมีการโต้ตอบผ่านอินสตาแกรมของตัวเอง และกลายเป็นประเด็นปัญหาที่เป็นข่าวในเวลานี้

 

ในความรู้สึกของดาวเตะอาร์เจนตินา การออกมากล่าวของอบิดัล เป็นการกล่าวหาและโยนความผิดมาให้กับนักเตะในทีมโดยไม่ยุติธรรม ในขณะที่ฝ่ายบริหารลอยตัวจากปัญหา

 

และในสิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ เมสซีไม่ได้เป็นคนที่ต้องการขับไล่บัลเบร์เดให้พ้นจากตำแหน่ง ในทางตรงกันข้าม เขาเป็นคนที่ต้องการให้โอกาสในการทำงานต่อไป (แม้ว่าจะไม่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่แฟนบอลที่ผิดหวังกับสไตล์การเล่นของทีมก็ตาม) ไม่ได้ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งโค้ชในเวลานี้

 

สิ่งที่ยิ่งทำให้ตลกร้ายคือ บอร์ดบริหารยังกลายเป็นตัวตลกอีกครั้ง เมื่อการตามหาโค้ชใหม่ก็ยังเต็มไปด้วยความผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นการล้มเหลวจากการกล่อม ชาบี เอร์นานเดซ ตำนานของสโมสรให้กลับมาช่วยทีมอีกครั้ง รวมถึง โรนัลด์ คูมัน และอีกหลายคนก่อนที่จะจบลงด้วยการได้ กิเก เซเตียน

 

โจเซฟ มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรบาร์เซโลนา ใกล้จะพ้นวาระประธานสโมสร

 

บาร์ซา VS. เมสซี เกมอำนาจที่อาจจบด้วยการจากลา?

 

ปัญหาทั้งหมดที่ถูกซุกซ่อนและระเบิดออก นำไปสู่คำถามสำคัญที่ทุกคนจับตามอง

 

ลิโอเนล เมสซี จะทิ้งบาร์เซโลนาหรือไม่

 

เพราะถึงแม้จะมีสัญญากับทีมจนถึงสิ้นสุดฤดูกาลหน้า (2021) แต่มีเงื่อนไขระบุในสัญญาว่า เมสซีจะสามารถย้ายทีมได้หลังจบฤดูกาลนี้ ซึ่งความขัดแย้งกับอบิดัล ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดว่านักฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลกอาจจะตัดใจอำลาคัมป์นู โดยที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้อาจเป็นจุดหมายใหม่

 

นั่นหมายถึง การที่เมสซีจะได้กลับไปร่วมงานกับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา อีกครั้งในการกอบกู้ ‘เรือใบสีฟ้า’​ ให้กลับมาผงาดอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ดี เป็นที่รู้โดยทั่วกันอยู่แล้วว่า เมสซีต้องการจะอยู่ปิดฉากตัวเองในคัมป์นู และถึงแม้ว่า จะมีปัญหากับอบิดัลในเวลานี้ แต่เขายังพร้อมจะให้โอกาสทุกฝ่ายด้วยการสวมเสื้อสีเลือดหมูของบาร์ซาต่อไปอีกอย่างน้อย 1 ปี

 

แต่จะยอมจรดปากกาต่อสัญญาระยะยาวที่บาร์ซาต้องการหรือไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่บอร์ดบริหารจะควบคุมได้ แม้ว่า อบิดัลจะออกปากว่า การเจรจาเริ่มต้นแล้ว และทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีก็ตาม

 

เพราะคนที่กุม ‘อำนาจ’ ตัวจริงในทีมคือเมสซี ซึ่งต้องการยืนยันเงื่อนไขในสัญญาที่จะสามารถย้ายออกจากทีมได้ทุกช่วงสิ้นสุดฤดูกาลเอาไว้ เพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง และสิ่งที่จะเป็นตัวแปรสำคัญคือ เรื่องของการเลือกตั้งตำแหน่งประธานสโมสรที่จะมีขึ้นในฤดูร้อนหน้า ซึ่งหากฝ่ายของ โจเซฟ มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรคนปัจจุบัน ยังได้รับชัยชนะอยู่ มีโอกาสที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบาร์เซโลนา

 

แต่หากบาร์โตเมวไม่ได้รับเลือก และเป็นผู้สมัครลงเลือกตั้งคนอื่น ซึ่งเวลานี้มี วิกเตอร์ ฟอนต์ ประกาศลงสมัครแค่คนเดียว ปัญหาที่หมักหมมมาเป็นระยะเวลานาน ก็มีโอกาสได้รับการสะสาง

 

นั่นเป็นสิ่งที่เมสซีหวังจะได้เห็น โดยที่ระหว่างทางจากนี้ไปจนถึงจุดนั้น เขาพร้อมจะรออย่างเย็นใจ

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising