หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า People Pleaser มาบ้างแล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักเกี่ยวกับ People Pleaser คนกลุ่มนี้คือคนที่มักจะทุ่มเทพลังงานและเวลาไปกับการทำให้คนอื่นมีความสุข จนบางครั้งลืมนึกถึงความสุขของตัวเอง พวกเขามักจะพูดคำว่า “ได้”, “ได้ค่ะ”, “ได้ครับ” กับทุกคำขอ แม้ในใจจะอยากปฏิเสธ เพราะกลัวว่าการปฏิเสธจะทำให้คนอื่นผิดหวังหรือไม่พอใจ แต่รู้หรือไม่ว่านี่ไม่ใช่แค่นิสัยที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นธรรมดา แต่เป็นรูปแบบพฤติกรรมที่อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพจิตได้ มาทำความรู้จักกับPeople Pleaser ให้มากขึ้นกันดีกว่า จะได้รู้วิธีรับมือให้ตัวเราอยู่ในจุดที่สมดุล แต่ไม่ทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว
สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจเป็น People Pleaser
หากลองสังเกตตัวเองแล้วพบว่าเราเป็นคนที่มักจะไม่กล้าปฏิเสธคำขอของคนอื่น แม้จะรู้สึกอึดอัดใจก็ตาม นั่นอาจเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าคุณเป็น People Pleaserในบางทีคุณอาจรู้สึกผิดทุกครั้งที่ต้องพูดว่า “ไม่” และมักจะขอโทษในเรื่องที่ไม่ใช่ความผิดของตัวเองอยู่เสมอ ทั้งนี้การที่คุณพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทุกรูปแบบ และชอบเก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้ข้างใน เพราะกลัวทำให้คนอื่นไม่สบายใจ ก็เป็นลักษณะสำคัญของ People Pleaserเช่นกัน
ทำไมถึงกลายเป็น People Pleaser ไปได้นะ
การเป็น People Pleaserไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่มักมีรากฐานมาจากประสบการณ์ในวัยเด็ก หลายคนเติบโตมาในครอบครัวที่เข้มงวดซึ่งต้องทำตามความต้องการของผู้ใหญ่เสมอ บางคนอาจเคยผ่านประสบการณ์ถูกปฏิเสธหรือถูกทอดทิ้ง จนเกิดความกลัวว่าจะถูกทิ้งอีก หรือบางคนอาจได้รับการชื่นชมเฉพาะเวลาที่ทำตามใจคนอื่นเท่านั้น ทำให้เติบโตมาพร้อมกับความเชื่อว่าต้องทำให้คนอื่นพอใจจึงจะมีคุณค่า เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่หลอมรวมให้คนคนหนึ่งกลายเป็นคนแบบ People Pleaserโดยไม่รู้ตัว
ผลกระทบที่ตามมาของการเป็น People Pleaser มีอะไรบ้าง
การเป็น People Pleaserอาจดูเหมือนเป็นคนดีในสายตาคนอื่น แต่ในระยะยาวกลับส่งผลเสียต่อตัวเองอย่างมาก ความเครียดจะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ต้องคอยทำให้ทุกคนพอใจ ร่างกายและจิตใจจะหมดพลังงาน เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตอบสนองความต้องการของผู้อื่น ที่น่ากังวลที่สุดคือการค่อยๆ สูญเสียตัวตนที่แท้จริงไป เพราะใช้ชีวิตตามความต้องการของคนอื่นมากเกินไป ความสัมพันธ์กับผู้อื่นก็มักจะไม่สมดุล เพราะเป็นฝ่ายให้มากกว่ารับเสมอ
วิธีดูแลตัวเองสำหรับ People Pleaser
การเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงควรเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ก่อน ลองฝึกปฏิเสธในเรื่องที่ไม่ใหญ่มากนัก และให้เวลาตัวเองคิดทบทวนก่อนตอบรับคำขอของคนอื่น เรียนรู้ที่จะรู้จักขีดจำกัดของตัวเอง โดยการตั้งขอบเขตที่ชัดเจนว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้ และที่สำคัญคือต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของตัวเองบ้าง
การสื่อสารที่จริงใจเป็นอีกทักษะสำคัญที่ต้องฝึกฝน พยายามพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกมา และใช้ประโยคที่แสดงความต้องการของตัวเองอย่างชัดเจน ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นใจในตัวเอง ยอมรับว่าเราไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนพอใจ และให้รางวัลตัวเองเมื่อกล้าที่จะปกป้องขอบเขตของตัวเอง
อย่าลืมว่าการเป็น People Pleaserไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราควรหาจุดสมดุลระหว่างการใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นและการดูแลตัวเอง การเรียนรู้ที่จะรักและเคารพตัวเองเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลง หากรู้สึกว่าจัดการกับปัญหานี้ด้วยตัวเองไม่ไหว การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตอาจเป็นทางเลือกที่ดี จำไว้ว่าการดูแลตัวเองไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่เป็นการรักษาสมดุลที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตที่มีความสุขและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น เมื่อเราดูแลตัวเองได้ดี เราก็จะมีพลังมากพอที่จะดูแลคนที่เรารักได้อย่างมีความสุขเช่นกัน