×

ดริปวิตามินจำเป็นไหม? ไขทุกข้อสงสัยกับ หมอแบงค์ นพ.ภาคภูมิ ที่ Mediwelle Vitality

11.08.2024
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • ทุกๆ ครั้งที่เราดริปมันได้ซ่อมแซมร่างกายไปด้วย ผมว่ามันเหมือนเราขึ้นบันได ถึงแม้ว่าจะก้าวลงมาแต่ก็ยังขึ้นไปแล้ว อันนี้คือคอนเซปต์หนึ่งของ Anti-Aging เราไม่ได้รอจนเราป่วยถึงค่อยรักษา  
  • สารกันเสียที่พ่วงมากับวิตามินคือสิ่งที่ทำให้ตับไตทำงานหนัก 
  • IV Therapy จำเป็น ถ้ามองว่าร่างกายขาดสารอาหาร แต่ถ้าสามารถกินอาหารได้ครบหมู่จริงๆ ก็ไม่จำเป็น โฟกัสที่ Macronutrients เสริม Supplement ทุกวัน แล้วให้ IV Therapy เป็นออปชัน

IV Therapy หรือที่ส่วนใหญ่เรียกติดปากกันว่า IV Drip การให้วิตามิน สารอาหาร และแร่ธาตุแก่ร่างกายผ่านสายน้ำเกลือนั้น ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกของการดูแลสุขภาพที่มีความนิยมมากขึ้นทุกปี ซึ่งสอดคล้องไปกับเทรนด์ที่ผู้บริโภคในปัจจุบันหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพเป็นอันดับต้นๆ ในชีวิต ผนวกกับไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบันที่ใช้ร่างกายหนักขึ้นหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการโหมทำงาน ออกกำลังกาย กินดื่ม พักผ่อนน้อย เป็นต้น

 

ทว่าการดริปวิตามินก็อาจยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างทั่วถึงด้วยเหตุผลด้านความเสี่ยง หรือมองว่าไม่จำเป็น งานนี้เราเลยบุกไปพิสูจน์ด้วยตัวเองที่ Mediwelle Vitality ดริปบาร์เปิดใหม่ที่ Gaysorn Amarin 

 

 

ร้อมชวน หมอแบงค์-นพ.ภาคภูมิ มิตรานนท์ Medical Director ผู้มีประสบการณ์ด้าน Aesthetics and Anti-Aging มา 17 ปี และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Mediwelle มาพูดคุยไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ IV Therapy แบบหมดเปลือกเพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้อ่าน LIFE ทุกคนท่ีกำลังสนใจดูแลสุขภาพด้วยวิธีนี้

 

 

IV Therapy เป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว และความนิยมในการดริปวิตามินในปัจจุบันดูมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในมุมมองของหมอแบงค์ จุดยืนของ IV Therapy ในท้องตลาดปัจจุบันเป็นอย่างไร 

 

ถ้าย้อนกลับไป 15 ปีที่แล้ว ผมยังจำได้ว่ามีข่าวออกทีวีเรื่องกลูตา กลูตาจะทำให้เป็นมะเร็ง แต่ตอนนี้กลายเป็นว่ากลูตามีประโยชน์ เหมือนกับ PRP ที่มีมาตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และอาจยังไม่ยอมรับในยุคนั้น เขาก็ทำกันมาเรื่อยๆ จนยุคนี้ทุกวงการการแพทย์คือยอมรับหมด นำมาฉีดเข่า ฉีดหน้า ฉีดผม เหมือนกับว่าความรู้มันค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ Anti-Aging 

 

สมัยก่อน Anti-Aging หรือการชะลอวัยเนี่ยเหมือนเป็นศาสตร์มืดที่คนในยุค 5 ปีที่แล้วอาจยังไม่เปิดรับ แต่กลายเป็นช่วงนี้ทุกคนสนใจเรื่องนี้กันหมด เพราะไม่อยากดูแก่ขึ้น 

 

 

สำหรับเทรนด์ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางยุโรปหรืออเมริกา IV Therapy คือมาแรงมาก Market Research ก็โตขึ้น 8% ทุกปี โดยเฉพาะทางอเมริกา ซึ่งจริงๆ ผมรู้สึกว่าเมืองไทยเนี่ย 2 ปีให้หลังก็เริ่มบูมแล้ว

 

อย่างช่วงโควิดน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ทุกคนต้องการวัคซีนหมด แต่พอรับวัคซีนไปแล้วมีผลข้างเคียงค่อนข้างเยอะพอสมควร ดังนั้นคีย์ก็คือทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองมีภูมิต้านทานแข็งแรง ซึ่งการดริปวิตามินสูตร Immunity เลยเป็นอีกทางเลือกที่คนส่วนใหญ่ชอบ ถ้าเป็นสูตรยอดนิยมในระดับโลกเลยหลักๆ ก็จะมีสูตรที่ช่วยเรื่องผิว ภูมิต้านทาน ออกกำลังกาย และลดน้ำหนักครับ

 

ทั้งนี้ก็มีทั้งกลุ่มที่เห็นด้วย กลุ่มที่มองว่าไม่ได้ผล กลุ่มที่มองว่าอันตรายถึงชีวิต ปัจจุบันมีงานวิจัยรองรับเรื่อง IV Therapy มากพอหรือยังที่จะบอกได้ว่ามันปลอดภัยจริง

 

เรื่องความปลอดภัย ความคุ้มค่า ถือเป็นคำถามต้นๆ ของลูกค้าเกือบทุกคนเลยครับ สำหรับงานวิจัย ผมว่าตอนนี้มีเยอะขึ้นมากๆ (อาทิ WebMd) สืบเนื่องจาก Supplement ที่เรากินทุกวัน เพราะจริงๆ มันคือวิตามินเหมือนกัน แค่เส้นทางในการนำเข้าต่างกัน Supplement ที่เรากินจะต้องผ่านระบบย่อย ดูดซึมแล้วค่อยเข้าสู่กระแสเลือด ใช้ได้แค่ 50% แต่พอให้เป็นสายน้ำเกลือ เข้าไปปุ๊บใช้ได้เกือบ 100% เพราะมันไม่ต้องผ่านระบบย่อย มันเข้าเส้นเลือดเลย 

 

 

แสดงว่าการกินวิตามินกับดริปวิตามินให้ผลลัพธ์ต่างกัน

 

จริงๆ ผลลัพธ์ต่างกันครับ แต่สุดท้ายแล้วมันเหมือนเรารดน้ำต้นไม้ทุกวัน แต่เราก็ต้องใส่ปุ๋ย ร่างกายต้องการวิตามินทุกวัน แต่ยิ่งชีวิตคนเมือง กินน้อย กินไม่ครบ ผักผลไม้ต่างๆ อย่างไรวิตามินก็ไม่พอ ถ้าไม่ได้คุมเรื่องแบบ Macronutrients แบบจริงจัง เพราะฉะนั้นทุกวันผมก็ยังยืนยันให้กิน Supplement อยู่ เป็นพื้นฐานในชีวิตไปยาวๆ ได้เลย แล้วค่อยให้ IV Therapy เป็นตัวช่วยบูสต์สัปดาห์ละครั้ง หรือ 2 สัปดาห์ครั้ง เอาจริงๆ แล้วไม่มีใครสามารถมาดริปได้ทุกวัน  

 

แบบนี้เราสามารถดริปวิตามินทุกวันได้ไหม  

 

ถ้าตามหลักแล้วควรจะดริปสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือ 2 สัปดาห์ครั้งครับ 

 

มันมีเรื่องของตับไตด้วย โดยปกติไม่ว่าจะวิตามิน อาหารเสริม สมุนไพร ก็จะต้องไปดีท็อกซ์ที่ตับแล้วไปที่ไต และยังมีข้อจำกัดเรื่องเส้นเลือด ถ้าเราใช้เส้นเดิมๆ เส้นก็จะเกิดพังผืด แทงไม่เข้า 

 

แสดงว่าดริปบ่อยๆ ก็ไม่ดี

 

ใช่ครับ กรณีที่มีปัญหาสุขภาพตับกับไต แต่ถ้าสุขภาพแข็งแรงดีมากก็ดริปบ่อยขึ้นได้ แต่แนะนำเป็นคนละสูตร อย่างผมเองก็ดริป 3 สูตร 3 ครั้งต่อสัปดาห์ 

 

 

สรุปแล้วเราควรได้รับวิตามินทุกวันอย่างเพียงพอ โดยเน้นจากอาหารหลัก ถ้ากินสารอาหารได้ไม่ครบก็เพิ่มเติมด้วยอาหารเสริม แล้วให้ IV Therapy เป็นออปชัน

 

ใช่ครับ IV Therapy เองก็ถือเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ไม่ชอบกลืนอาหารเสริมทีละเยอะๆ ด้วย 

 

หลังจากดริปวิตามินแต่ละตัว ส่วนใหญ่จะรู้สึกถึงผลลัพธ์เลยไหม 

 

80% ของเคสรู้สึกเลย แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสูตรด้วย อย่างสูตรที่เห็นได้ชัดเลยคือ Calm & Sleep เพราะเราใส่เป็นพวกแมกนีเซียมเข้าไป มันก็ช่วยทั้ง Calm Mood & Muscle ส่วนใหญ่ฟีดแบ็กที่ได้รับคือคืนนั้นหลับดีขึ้น ตื่นมาแล้วสดชื่น รู้สึกหัวสมองปลอดโปร่ง

 

ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน 

 

ส่วนมากประมาณ 2 สัปดาห์ครับ ทั้ง Circulation และผลลัพธ์ พอร่างกายนำไปใช้ ไตก็จะขับออก เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมต้องมา 1-2 สัปดาห์ครั้ง

 

 

ถ้าอยากให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพยาวนานก็มาดริปต่อเนื่องทุกสัปดาห์ได้เลย

 

ใช่ครับ ทุกๆ ครั้งที่เราดริปมันได้ซ่อมแซมร่างกายไปด้วย ผมว่ามันเหมือนเราขึ้นบันได ถึงแม้ว่าจะก้าวลงมาแต่ก็ยังขึ้นไปแล้ว อันนี้คือคอนเซปต์หนึ่งของ Anti-Aging เราไม่ได้รอจนเราป่วยถึงค่อยรักษา ระหว่างทางเราทำให้ตัวเองสุขภาพแข็งแรงไปด้วย ไม่ว่าจะสุขภาพ ความงาม หรือชะลอวัยก็ตาม คีย์เวิร์ดเดียวคือ ป้องกันดีกว่ารักษา 

 

แล้วถ้าดริปครั้งเดียวได้ไหม 

 

ร่างกายจะเป็นคนบอกครับ มันจะมีบางสูตรด้วยที่ต้องดริปต่อเนื่องเช่น NAD ถ้าตามโปรโตคอลต้องดริปต่อเนื่องค่อนข้างเยอะ แต่เห็นผลชัดสุดในกรณีคนมีอายุ อย่างเคสหนึ่งที่อายุ 50 กว่าปี มีตติ้งเยอะ เล่นกอล์ฟเยอะ ทำงานเยอะ พอดริปไป 5-6 ครั้ง แฟนต้องตามมาดริปบ้าง เพราะผู้ชายดูเด็กกว่าไปแล้ว 

 

การดริปวิตามินควรต้องมีช่วงหยุดพักไหม

 

ถ้าตาม Optimum Dose คือไม่เยอะไปไม่น้อยไป ไม่ต้องพัก แต่ทั้งนี้ต้องดูค่าตับค่าไตจากผลตรวจร่างกายประจำปีด้วย เพราะบางคนดริปก็จริงแต่ไลฟ์สไตล์ดื่มหนักมาก สูบบุหรี่ หรือกินอาหารทะเลที่มีโลหะหนัก ก็ส่งผลต่อสุขภาพตับไตเช่นกัน

 

 

แสดงว่าการดริปวิตามินทำให้ตับและไตทำงานหนัก

 

ใช่ครับ จริงๆ ตับก็เป็นโรงงานดีท็อกซ์ ส่วนไตเป็นโรงงานประปาที่ปล่อยน้ำเสียออก เพราะฉะนั้นการตรวจสุขภาพประจำปีจึงสำคัญ เราจะนำตรงนั้นมาเป็นข้อมูลประกอบก่อนให้รับบริการ 

 

อีกกรณีคือแหล่งที่มาของวิตามิน สารกันเสียที่พ่วงมากับวิตามินนี่แหละ คือสิ่งที่ทำให้ตับและไตทำงานหนัก แหล่งที่มาของวิตามินต้องน่าเชื่อถือ ผมก็เลยพูดอยู่ตลอดว่าการปรุงวิตามินเหมือนทำอาหาร ถ้าของมันไม่ดี ของมันไม่ถึง อาหารมันก็ไม่อร่อย อันนี้เหมือนกันเลย วิตามินที่ปรุงก็เหมือนกัน แล้วอันนี้มันยิ่งกว่าอาหารอีก มันเข้าสู่ร่างกาย  

 

แม้กระทั่งอากาศที่อยู่ในสาย ผมย้ำพยาบาลตลอด ห้ามมีเลย หรือเข็มถ้าโดนขอบ โดนอะไรแค่เสี้ยววิคือต้องทิ้งทันที 

 

 

พูดถึง Mediwelle Vitality กันบ้าง คอนเซปต์ของที่นี่เป็นอย่างไร

 

ที่ Mediwelle เราเน้นเรื่องการดูแลฟื้นฟูความงาม สุขภาพ และชะลอวัยแบบ Non-Invasive คือไม่รุนแรง ผลลัพธ์ชัดเจน ปลอดภัย ส่วนที่ Mediwelle Vitality เราเป็น Wellness Space ที่มีทั้งรีเทลสเปซสำหรับสกินแคร์ อาหารเสริมของทางแบรนด์ และดริปบาร์ด้านในที่มีความแม่นยำในการรักษา เลยเป็นที่มาของคำว่า Vitality การมีความสมบูรณ์จากภายใน 

 

ผมอยากให้ที่นี่มีบริการแบบโรงแรมเข้ามาด้วย ลูกค้าเข้ามาแล้วต้องได้รับบริการทันที ต้องมีความเป็นส่วนตัว และรู้สึกสบาย ไม่เน้นฮาร์ดเซล 

 

 

วิตามินที่ Mediwelle ใช้มาจากที่ไหน

 

เป็นวิตามิน Medical Grade นำเข้าจากเยอรมนี ไม่มีสารกันเสีย เรานำเข้ามาแล้วมาปรุงเป็นสูตรของทาง Mediwelle เองครับ 

 

โดสของวิตามินแต่ละตัวใช้ต่างกันไหม

 

ใช้ต่างกันครับ อันนี้สำคัญ แต่ละวิตามินจะมีไกด์ไลน์การใช้อยู่ ซึ่งโดสการใช้สำหรับกินกับดริปก็ต่างกัน 

 

ระหว่างการกินอาหารเสริมทุกวันโดยไม่ดริปเลยกับ การดริปสัปดาห์ละครั้งโดยไม่กินอาหารเสริมเลย ผลลัพธ์ที่ได้จะเหมือนกันไหม

 

ตอบยาก เพราะมันมีเรื่องปัจจัยอื่นด้วยครับ เช่น ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน และวิตามินเองก็ไม่ใช่ยาด้วยครับ สองเคสนี้เลยจะเปรียบเทียบกันไม่ได้

 

 

จริงไหมกับคำกล่าวที่ว่า ไม่ควรดริปวิตามินตอนมีประจำเดือน เพราะสารอาหารจะขับออกหมด  

 

ประจำเดือนกับการดริปวิตามินไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน เพราะว่าประจำเดือนเกิดจากผนังมดลูกที่ร่อนออกมาเลยกลายเป็นเลือด ในทางกลับกันการดริปวิตามินในช่วงที่มีประจำเดือนกลับช่วยลดอาการอ่อนเพลียจากการเสียเลือดได้ดี

 

ก่อนดริปต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษไหม

 

ไม่มีเลยครับ 

 

ระหว่างที่ดริปสามารถทำหัตถการอื่นไปพร้อมๆ กันได้ไหม

 

ทำได้หมดเลย ส่วนใหญ่ที่ Mediwelle ลูกค้าก็จะทำหน้าไปด้วย ดริปไปด้วย จะมีแค่เรื่องการงอแขน บางคนเล่นมือถือ งอแขนมากไปก็อาจจะทำให้น้ำเกลือไม่ไหล 

 

 

หลังดริปมีข้อห้ามอะไรบ้าง

 

ผมแนะนำว่าควรงดแอลกอฮอล์ 1 คืน มันเหมือนไปล้างกัน แต่อย่างอื่นทำได้หมด 

 

IV Therapy ไม่เหมาะกับใคร

 

คนตั้งครรภ์ คนให้นมบุตร คนที่มีปัญหาตับและไต และคนที่มีภาวะ G6PD หรือการที่เม็ดเลือดแดงแตกง่ายตอนได้รับวิตามินซี คือเราจะใส่ทุกอย่างได้หมดยกเว้นวิตามินซี ซึ่งเราจะใช้การซักประวัติอย่างละเอียดก่อนให้บริการ  

 

หลังดริปแล้วเกิดผื่นหรือใจสั่นถือเป็นผลข้างเคียงหรืออาการแพ้

 

ส่วนใหญ่ถ้าใจสั่นมาจากการปล่อยวิตามินเร็วไป เราต้องให้ Flow Rate สัมพันธ์กับเวลา โดยจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถ้า NAD ประมาณชั่วโมงครึ่ง

 

แต่ถ้าผื่นขึ้นในลักษณะลมพิษทั้งตัวคือแพ้ อีกกรณีคือสังเกตง่ายๆ จากแขนข้างที่เปิดเส้น ถ้าขึ้นเป็นจุดแดงๆ ก็ถือว่าแพ้เช่นกัน อาการแพ้จะเกิดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน 

 

ความเสี่ยงสูงสุดจากการดริปวิตามินคืออะไร 

 

อย่างที่ผมบอกก่อนหน้านี้ ถ้ามีอากาศในสายน้ำเหลือ อากาศจะไปอุดตันหลอดเลือด ถ้าไปอุดปอดก็หายใจไม่ออก ถ้าอุดที่สมองก็อุดหลอดเลือดได้ มันเป็นภาวะหนึ่งที่ห้ามเกิด ดังนั้นแล้วความเสี่ยงสามารถเกิดขึ้นได้จากแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญหรือขาดประสบการณ์ครับ

 

 

ทำไมบางคนดริปแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย  

 

ผมเคยเห็นบางที่ให้เป็นกระเปาะจิ๋วๆ แล้วก็รู้สึกว่ามันจะพออะไร แล้วข้างในเป็นน้ำสีชมพูอีก ปกติวิตามินไม่ค่อยมีสีชมพู หรืออย่างวิตามินบีก็จะเป็นสีเหลือง ส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อยจะใส ผมเลยรู้สึกว่าเราต้องสร้างมาตรฐานที่ดีในวงการนี้ ถูกและดีไม่มีในโลก

 

ผลข้างเคียงแบบปกติและรุนแรงจากการดริปวิตามินที่เกิดขึ้นได้ มีลักษณะแบบไหนบ้าง

 

ส่วนใหญ่ผลข้างเคียงที่ปกติก็จะเป็นได้ทั้งใจสั่นเล็กน้อย อันนี้เราปรับ Flow Rate ได้ ถ้าแทงเส้นไปแล้ววิตามินรั่วก็อาจจะเกิดอาการปวดได้ หรือกรณีที่แทงแล้วเส้นแตกตั้งแต่แรกก็จะมีรอยเขียวช้ำได้ ถ้าเราคุมทุกสเต็ปดีๆ ก็จะปลอดภัย 

 

 

กรณีที่ลูกค้าเข้ามาแล้วไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาตับและไตหรือเปล่า อีกทั้งไม่มีผลตรวจ ทางคลินิกมีคำแนะนำอย่างไร

 

เบื้องต้นเราสังเกตก่อน ถ้าตัวเหลือง ตาเหลืองมา คือสันนิษฐานว่าเป็นโรคตับได้เลย แต่สำหรับคนที่ไม่รู้ว่ามีปัญหาตับและไต สูตรที่ทางคลินิกคิดค้นมาแล้วก็อยู่ในโดสที่ปลอดภัย สามารถดริปได้ นอกจากนี้ทางเราก็มีบริการตรวจเลือดส่งแล็บให้เช่นกัน  

 

ที่นี่มีขั้นตอนประเมินอย่างไรว่าเหมาะกับวิตามินตัวใด เพราะบางคนอาจจะลังเลหลายสูตร เช่น Weight Control & Performance Enhancer 

 

มีครับ เราต้องถามให้ชัดเจนว่าช่วงนี้ไลฟ์สไตล์เป็นอย่างไร โฟกัสกับอะไรมากกว่า เช่น ช่วงนี้ออกกำลังกายหนักก็จะแนะนำเป็น Performance Enhancer ที่จะช่วยเพิ่มความอึดในการออกกำลังกาย และช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้เร็ว หรือ Weight Loss เราก็ต้องมาคุยเรื่องการกินและปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย ซึ่งวิตามินมันเป็นเพียงส่วนเสริม สุดท้ายก็ต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ ไปด้วยกัน 

 

 

เห็นว่าทางคลินิกมี Booster ด้วย

 

ใช่ครับ เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลา เราใช้เป็นช็อตฉีดที่แขน 20 ซีซี 5 นาทีเสร็จ ซึ่งคนที่ดริปวิตามินก็สามารถเลือกรับ Booster เพิ่มได้เช่นกัน 

 

 

มีข้อแนะนำอะไรสำหรับมือใหม่ที่เริ่มอยากเข้าวงการ IV Therapy

 

ต้องรู้ก่อนว่าความกังวลของตัวเองคืออะไร นอนไม่ดี ผิวแห้ง ออกกำลังกายแล้วไม่มีแรงหรือเปล่า พอมีความกังวลแล้วมาลองรับบริการก็จะสัมผัสถึงผลลัพธ์ได้ แต่ถ้ายังไม่มีความกังวลอะไรเลย การหาตัวช่วยป้องกันไว้ก่อนก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี

 

สรุปว่า IV Therapy จำเป็นไหม 

 

จำเป็น ถ้ามองว่าร่างกายขาดสารอาหาร แต่ถ้าสามารถกินอาหารได้ครบหมู่จริงๆ ก็ไม่จำเป็น โฟกัสที่ Macronutrients เสริม Supplement ทุกวัน แล้วให้ IV Therapy เป็นออปชันครับ

 

Result*

 

สูตรที่หมอแบงค์แนะนำสำหรับเราที่มีไลฟ์สไตล์ออกกำลังกาย 4-5 วันต่อสัปดาห์ในรูปแบบเวตเทรนนิ่งและคาร์ดิโอคือ Performance Enhancer และ Booster Vitamin B12 เราสัมผัสได้ว่าขณะที่ออกกำลังแบบ High-Impact นั้นร่างกายมีความอึดขึ้น เหนื่อยน้อยลง กล้ามเนื้อมีความล้าน้อยลง จากที่เหงื่อน้อยก็สัมผัสได้ว่าเหงื่อออกเยอะขึ้น

 

 

Good for

 

ใครที่อยากหาตัวช่วยบูสต์ให้ร่างกายมีสุขภาพดีและเร็วยิ่งขึ้น IV Therapy ถือเป็นอีกทางเลือกที่ค่อนข้างตอบโจทย์ Mediwelle Vitality เป็นดริปบาร์ที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย พยาบาลมือเบามาก เราสามารถดูขั้นตอนการผสมวิตามินได้ต่อหน้า นอกจากนี้บรรยากาศยังผ่อนคลาย มีความเป็นส่วนตัว เหมือนได้มานอนเล่นบนที่นั่ง Business Class ชิลๆ

 

 

*หมายเหตุ: ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

 

อ้างอิง:

 


 

Mediwelle Vitality

 

Open: เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น.

Address: ชั้น 2 Gaysorn Amarin 

Budget: IV Therapy: Performance Enhancer 5,200 บาทต่อครั้ง / 24,750 บาทต่อ 5 ครั้ง / 46,000 บาทต่อ 10 ครั้ง, Booster Vitamin B12 1,800 บาทต่อช็อต 

Tel.: 0 2252 2465

Instagram: https://www.instagram.com/mediwelle/ 

Facebook: https://www.facebook.com/mediwelle 

Website: https://mediwelle.com/ 

Map: https://maps.app.goo.gl/LNk4i9b1fWEHRQ4GA 

 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising