×

‘แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์’ เทเงิน 34,960 ล้านบาท เปิด 17 โครงการใหม่ในปี 2566 เน้น ‘บ้านเดี่ยว’ สินค้าหลักที่ยังมีความแข็งเกร่ง

13.01.2023
  • LOADING...
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

LH ประเมินตลาดอสังหาปี 2566 จะฟื้นตัวจากปัจจัยต่างๆ เทเงินเพิ่มขึ้น 8% สำหรับเปิดโครงการใหม่ เกือบทั้งหมดเป็น ‘บ้านเดี่ยว’ ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ยังมีความแข็งแกร่ง พร้อมกลับมาเปิดคอนโดในรอบ 3 ปี 

 

วัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH กล่าวว่า ในปี 2565 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นสินค้าหลักยังคงมีความแข็งแรงต่อเนื่อง หากพิจารณาตัวเลขจำนวนหน่วยบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่สร้างโดยผู้ประกอบการ และจดทะเบียนใน กทม. และปริมณฑล ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2565 จะเห็นว่าเติบโตประมาณ 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ในขณะที่จำนวนหน่วยที่เปิดขายใหม่ของสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2565 มีจำนวน 22,855 หน่วย ซึ่งเติบโตเกือบเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากฐานที่ต่ำ 

 

สำหรับ LH เปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,460 ล้านบาท และใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายประมาณ 4.4 พันล้านบาท

 

“ในปี 2565 สินค้าประเภทบ้านแนวราบ ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮาส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทฯ โดยสัดส่วนการขายของบ้านแนวราบอยู่ที่ 92% และคอนโดมิเนียม 8% โดยราคาของบ้านที่สูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนประมาณ 54% ของยอดขาย”

 

ด้าน โชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด กล่าวต่อว่า เมื่อสถานกาณ์โควิดเริ่มคลี่คลายในปีที่ผ่านมา ทิศทางของตลาดคอนโดมิเนียมก็ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยสะท้อนจากจำนวนหน่วยที่ขายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ที่เพิ่มขึ้นถึง 137% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2564

 

แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2564 แต่ตลาดคอนโดมิเนียมก็ยังมีความเปราะบาง และยังไม่กลับสู่สภาวะปกติอย่างแท้จริง LH จึงยังคงระมัดระวังการเปิดโครงการประเภทคอนโดมิเนียม จึงไม่ได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ โดยมียอดขายปี 2565 อยู่ที่ 2.24 พันล้านบาท

 

สำหรับปี 2566 คาดว่าตลาดคอนโดมิเนียมจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2565 โดยจะเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นจึงมีแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 6.5 พันล้านบาท คือโครงการ The Key ศรีนครินทร์ ซึ่งจะเปิดขายในไตรมาสที่ 3 โดยเป็นการเริ่มเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่นับตั้งแต่ปี 2563

 

ในภาพรวม LH มีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 34,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับการเปิดโครงการใหม่ในปี 2565 หลักๆ ยังเป็นบ้านเดี่ยวที่จะเปิดกว่า 15 โครงการ 

 

เมื่อรวมกับโครงการที่ดำเนินการอยู่จะทำให้ LH มีโครงการทั้งสิ้น 87 โครงการ เป็นมูลค่า 91,320 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 78 โครงการ มูลค่า 76,450 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 9 โครงการ มูลค่า 14,870 ล้านบาท ขณะที่ประมาณราคาเฉลี่ยต่อหน่วยขายในปี 2566 เท่ากับ 8.8 ล้านบาท

 

ขณะที่ วิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุน เผยว่า ปี 2565 ออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 1.37 หมื่นล้านบาท อายุ 2-3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.61% ต่อปี ซึ่ง ณ สิ้นปี 2565 คาดว่าหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ประมาณ 5.1 หมื่นล้านบาท

 

โดยปี 2565 LH ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USA จำนวน 3.7 พันล้านบาท ประกอบด้วยพัฒนาศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 มูลค่า 350 ล้านบาท และพัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ 3.35 พันล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม LH ยังไม่ได้ขายอพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกาตามแผนที่ตั้งไว้ เนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ Fed ดำเนินนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนคาดหวังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อมายังราคาขาย

 

ในปี 2566 LH ได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 9 พันล้านบาท ประกอบด้วยงบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 6 พันล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 3 พันล้านบาท 

 

“เรามีมีแผนที่จะขายโรงแรมในประเทศไทยเข้ากอง REIT รวมถึงมีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีกจำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะยังคงอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100%” 

 

ทั้งหมดทั้งมวล LH ตั้งเป้าหมายยอดขาย (Booking) 3.5 หมื่นล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 3.3 หมื่นล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7.15 พันล้านบาท

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising