×

Let the Girl Kill บาร์คราฟต์เบียร์ไทยภาคต่อ ที่เราชอบเหลือเกิน

08.09.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • งานศิลปะฉลุลายรูปมังกรที่ตั้งอยู่เหนือแท็ปสำหรับรินคราฟต์เบียร์ ต้องสะดุดตาใครต่อใครก็ตามที่เดินผ่านประตูเข้ามาภายในร้าน
  • คราฟต์เบียร์ไทยมีหมุนเวียนให้เลือกลิ้มชิมรสมากถึง 9 ตัว เติมเต็มความต้องการของคนรักคราฟต์เบียร์ที่มีรสนิยมอันหลากหลาย

     เนื่องจากเราได้ผ่านพ้นยุคบุกเบิกมาเป็นยุคเฟื่องฟูของคราฟต์เบียร์ และคนรักคราฟต์เบียร์หลายๆ คนก็ได้หันมาเป็นบริวเวอร์ (Brewer) หรือผู้ผลิตคราฟต์เบียร์กันมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันตัวเลือกของคราฟต์เบียร์สัญชาติไทยนั้นมีมากมาย แถมยังมีรสชาติที่หลากหลาย เมื่อเทียบกับช่วงไม่กี่ปีก่อนที่ผ่านมา

     จะบอกว่าบาร์แห่งนี้เป็นเหมือนภาพยนตร์ภาคต่อจากบาร์ขวัญใจมหาชนของคอคราฟต์เบียร์ไทยที่ชื่อว่า Let the Boy Die (ที่ตั้งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก) ก็คงจะได้ Let the Girl Kill (เล็ท เดอะ เกิร์ล คิล) ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์​ที่ดัดแปลงมาจากนิยายขายดีของนักเขียนชาวสวีเดน Stieg Larsson ที่ชื่อว่า The Girl with the Dragon Tattoo

     ด้วยความที่มีหุ้นส่วนบาร์ที่เป็นบริวเวอร์เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ร้านแห่งนี้มีตัวเลือกที่ค่อนข้างหลากหลาย แถมยังรับเอาคราฟต์เบียร์ที่น่าสนใจมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อช่วยสร้างสีสันและเติมเต็มรสชาติใหม่ๆ ให้กับนักดื่ม

 

 

The Vibe

     บาร์ขนาด 1 คูหานี้ได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่าย ค่อนไปทางดิบๆ ซึ่งตั้งแต่เหยียบเข้าไปในร้านก็ต้องเจอกับมังกรฉลุบนแผ่นโลหะอันเป็นจุดเด่นที่สุดประจำบาร์ก็ว่าได้ นอกจากงานศิลปะจากแผ่นโลหะแล้ว ที่นี่ตกแต่งโดยใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้เสียเป็นส่วนใหญ่ มีโต๊ะหินอ่อนหลุดออกมาอยู่ 1 ตัว เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดถูกจัดวางแบบไม่ซับซ้อน เน้นเดินเข้า-ออกสะดวก เนื่องจากมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ทำให้ลูกค้าที่มานั่งจิบเบียร์สามารถนั่งดื่มด่ำกับรสชาติคราฟต์เบียร์ได้ยาวๆ โดยไม่ต้องรีบดื่มให้หมดแล้วรีบออกไปเพราะความคับแคบอึดอัด

 

 

 

The Food

     จะให้นั่งดื่มอย่างเดียวก็กระไรอยู่ ของแกล้มดื่มของที่นี่ถือว่ามีคุณภาพและราคาจัดว่าน่ารัก เฟรนช์ฟรายส์ (100 บาท) ทำจากมันฝรั่งชิ้นโต นำไปทอดในน้ำมันจนสุกเหลือง โรยด้วยออริกาโนและเกลือ ได้รสชาติหวานมันแท้ๆ ตัดกับความเค็มของเกลือกำลังดี หมูแดดเดียว (140 บาท) ที่เลือกหมูติดมันมาทอดจนเป็นสีน้ำตาล โรยด้วยพริกไทยดำและออริกาโนเพิ่มให้มีกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ มีรสชาติเข้มข้นที่กัดคำแรกก็เข้าถึงความอร่อยโดยทันที

 

 

     นักเก็ตไก่ (140 บาท) ทำจากเนื้อไก่ติดหนังอย่างดี ไม่มีการเอาไก่ไปบดและเติมสารเติมเต็ม นำไปชุบแป้งทอดและโรยด้วยผงปาปริก้า ซึ่งรับประกันว่าได้รสชาติและความนุ่มของเนื้อไก่อย่างแท้จริง จะกินแบบจิ้มหรือไม่จิ้มกับซอสก็อร่อย

     Mix Sausages (280 บาท) ภายในจานมีไส้กรอก 4 ชนิด ซึ่งเป็นไส้กรอกคุณภาพที่มีแต่เนื้อกับเนื้อ ไม่ใส่แป้ง ซึ่งจะสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีซ้ำ เคียงกับมันบดทำเอง ซึ่งยังคงมีเท็กซ์เจอร์ของมันบดที่ไม่ได้บดละเอียดมากนัก พร้อมซาวเคราท์ที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำส้มสายชูอย่างดี

 

 

The Drinks

     เบียร์ของที่นี่มีทั้งแบบแก้วใหญ่และมาเป็นไฟลต์ (Flight) เพื่อจะได้ชิมรสชาติในการดื่มที่หลากหลาย ซึ่งหากใครที่ติดใจตัวใดตัวหนึ่ง ก็สามารถเลือกดื่มเป็นแก้วใหญ่ ซึ่งราคาต่อแก้วจะอยู่ที่ประมาณ 180-200 บาท แต่หากใครที่อยากลองหลายๆ ตัวอย่างละนิดละหน่อย แบบไฟลต์จะตอบโจทย์มากกว่า (1 ไฟลต์ราคา 300 บาท โดยใน 1 ไฟลต์จะมีทั้งหมด 3 แก้วเล็ก) โดยลูกค้าสามารถเลือกเบียร์ได้ตามใจชอบว่าอยากกินตัวไหน ซึ่งเบียร์จะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปแต่ละช่วง ตามคอนเซปต์ของแต่ละเดือนหรือแต่ละอีเวนต์ที่ทางร้านจัดขึ้น

 

 

     อย่างสำหรับช่วงนี้จะเป็นธีมเบียร์ผลไม้ ซึ่งนำทัพโดย MickleheiM: Mix Berry (180 บาท) เป็นเบียร์ Kölsch (โคลช์) ดื่มง่ายได้รสชาติของผลไม้ตระกูลเบอร์รีมาช่วย รสชาติเปรี้ยวอมหวานเต็มเปี่ยม แต่หาได้แย่งซีนเบียดบังรสชาติของบาร์เลย์คั่วและฮอปส์แต่อย่างใด

     ตัวที่สอง Serious Panda: Strawberry เป็น Witbier (วีทเบียร์) หรือที่แปลเป็นภาษาบ้านเราว่า ‘เบียร์ขาว’ เกิดจากการแขวนลอยของยีสต์และระดับโปรตีนในมอลต์และบาร์เลย์ ทำให้เนื้อเบียร์มีสีที่จาง เป็นเบียร์สไตล์หมักต้มในเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ แต่สำหรับเบียร์ตัวนี้กลับมีสีออกชมพูนิดๆ และได้รสชาติหวานหอมเบาๆ จากสตรอว์เบอร์รี แต่ก็ไม่รู้สึกเหมือนดื่มน้ำสตรอว์เบอร์รี

     ส่วนตัวสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือ Hercules: Coconut (180 บาท) เป็น Brown Ale (บราวน์ เอล) เมื่อจิบแล้วจะได้รสชาติหอมมันแบบกะทิอยู่ในปาก โดยที่ความมันของมะพร้าวไม่แทรกแซงการรับรสอื่นๆ ของลิ้น อีกทั้งยังช่วยให้การดื่มลื่นไหลขึ้นอีกด้วย นอกเหนือจากกะทิแล้ว ยังได้รสชาติของคาราเมลอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่บราวน์ เอล ชั้นดีพึงมี

     ถ้าจะว่าบาร์นี้เป็นหนังภาคต่อ เราก็ชอบภาคต่อภาคนี้เหลือเกิน

 

 

Open: วันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 18.00-24.00 น.

Address: 747 ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย กรุงเทพฯ

Budget: 180-280 บาท

Contacts: 08 0599 6177, 08 9171 5112, 08 1401 9912

Map: 

FYI
  • Kölsch (โคลช์) เป็นเบียร์ที่หมักด้วยอุณหภูมิ 13-21 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าใช้อุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง เบียร์ชนิดนี้ถือกำเนิดในเมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี
  • Brown Ale (บราวน์ เอล) เกิดขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 18 แต่เมื่อเข้าสู่ปี 1800 เบียร์ชนิดนี้ก็หายไป เนื่องจากปัญหาเหล่าบริวเวอร์ในสมัยนั้นไม่นิยมใช้มอลต์น้ำตาลกัน ทำให้เพลมอลต์ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่าเข้ามาแทนที่ในการหมักเบียร์ทุกชนิด รวมไปถึงเบียร์สีเข้มชนิดอื่นอย่าง Porter (พอร์เตอร์) และ Stout (เบียร์ดำ) แต่บราวน์ เอล ก็กลับมาอีกครั้งในศตวรรษที่ 19

 

  • LOADING...

READ MORE



Latest Stories

Close Advertising