แมนดาริน โอเรียนเต็ล โรงแรมแห่งแรกในกรุงเทพฯ ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 จนปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 140 ปี และได้รับการกล่าวถึงทั้งด้านการบริการ ความหรูหรา รวมทั้งอาหารการกินที่ไม่เป็นสองรองใคร จุดเด่นที่สัมผัสได้จากการมาที่นี่ทุกๆ ครั้งคือความคงเส้นคงวา และการเอาใจใส่แขกและผู้มาเยือนเป็นอย่างดี และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ก็ได้รับการกล่าวถึงอีกครั้งหลังจากที่ห้องอาหารฝรั่งเศส Le Normandie (เลอ นอร์มังดี) ได้รับมิชลิน 2 ดาว ถึง 2 ครั้งด้วยกันในมิชลินไกด์ กรุงเทพฯ ฉบับแรกในปี 2017 และล่าสุดในปี 2018 แต่ห้องอาหารนี้มีดีอะไร ถึงได้เป็นที่รู้กันว่าเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ นับตั้งแต่มิชลินไกด์ยังไม่เข้าเมืองไทยเสียอีก
ไปลองชิมอาหารฝรั่งเศสตอนกลางวันเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้างก็ดีเหมือนกัน
The Vibe
Le Normandie ห้องอาหารฝรั่งเศสประจำโรงแรมฯ ตั้งอยู่บนชั้น 5 โซนการ์เด้น วิง ภายในอาคารสถาปัตยกรรมโคโลเนียลสุดคลาสสิก เปิดให้บริการมาแล้ว 60 ปี ตั้งแต่ปี 1958 ในชื่อ Le Normandie Grill มีสัญลักษณ์เป็นรูปสิงโตคู่ ต่อมาในปี 1969 มีการรีโนเวตห้องอาหารให้มีความสมบูรณ์แบบ และล่าสุดเมื่อปี 2015 ซึ่งครบรอบ 140 ปีของการก่อตั้งโรงแรม ได้มีการรีโนเวตห้องอาหารให้มีความหรูหราและคลาสสิก ประดับแชนเดอเลียร์ ทำผนังกรุกระจกใสจากเพดานจรดพื้นทำให้เป็นห้องอาหารที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและวิวเมืองได้อย่างรอบด้าน
เชฟอาร์โนด์ ผู้นำร้าน Le Normandie ไปคว้าดาวมิชลิน 2 ดาวมาได้ถึง 2 ครั้ง
The Chef
Le Normandie ได้ เชฟอาร์โนด์ ดูนองต์ โซธิเอร์ (Arnaud Dunand-Sauthier) ชาวฝรั่งเศสเป็นหัวหน้าเชฟประจำห้องอาหาร ซึ่งตัวเชฟมีประสบการณ์กว่า 15 ปี ร่วมงานกับเชฟชื่อดังมากมายอาทิ กาย มาร์ติน (Guy Martin) และมาร์ค วีย์รัต (Marc Veyrat) ห้องอาหาร L’Auberge de L’Eridan, เอมี จุง (Emile Jung) ห้องอาหาร Crocodile และเคยทำงานที่ Maison Lameloise ในแคว้นบูร์กอญ (Bourgogne) จากนั้นย้ายไป Le Crillon ที่ปารีสโดยคำแนะนำของ Jean-François Piège และในที่สุดก็ได้มาลงหลักปักฐานที่ Le Normandie ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเชฟอาร์โนด์เป็นหนึ่งในผู้ทำให้ Le Normandie ได้รับการจัดอันดับมิชลิน 2 ดาว ในมิชลินไกด์ถึง 2 ครั้งด้วยกัน ร่วมกับทีมของเขา อีกทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นห้องอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุดในประเทศไทยจากคู่มือแนะนำ Les Grande Tables du Monde
สีสันสดสวยของจานรวมมิตรอาหารทะเล ทั้งทูน่า หมึกยักษ์ หอยลาย กุ้งคาราบิเนรอส และคาเวียร์ ที่ตอกย้ำว่าอาหารฝรั่งเศสชั้นเลิศจำต้องงดงามประดิดประดอย และมาพร้อมรสอร่อย
The Dishes
ในส่วนของอาหาร เชฟอาโนเชี่ยวชาญการทำอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัย ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากบ้านเกิดเชฟบนเทือกเขาแอลป์ นำมาปรุงโดยใช้ผักออร์แกนิกจากโครงการหลวง และวัตถุดิบชั้นเลิศกับเครื่องปรุงนำเข้าจากฝรั่งเศส โดยมีซอมเมอลิเยร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์คอยให้คำแนะนำการจับคู่ไวน์กับอาหารแต่ละประเภท
จุดเด่นของร้านอาหารฝรั่งเศสเบอร์หนึ่งของประเทศแห่งนี้คือรถเข็นชีสนานาชนิดเสิร์ฟตรงถึงโต๊ะ และเสิร์ฟขนมปังโฮมเมด 3 ชนิด (บาแกตต์, ซาวโดว์, บริยอช) พร้อมเนยเค็มผสมสาหร่ายที่ให้กลิ่นทะเลเตะจมูกนิดๆ และเนยจืด ซึ่งเนยทั้งสองชนิดส่งตรงจากแคว้นบริตตานีในฝรั่งเศส ซึ่งเนยเค็มผสมสาหร่ายเป็นที่เลื่องลือและติดใจผู้มาเยือนมานักต่อนัก
Amuse-bouche หรืออาหารเรียกน้ำย่อยแบบกินง่ายสไตล์ฝรั่งเศส
เป็นธรรมเนียมของร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งที่จะต้อนรับแขกด้วย Amuse-bouche ออเดิร์ฟชิ้นเล็กขนาดพอดีคำซึ่งอยู่นอกเหนือจากเมนูหลัก และเชฟเป็นผู้จัดเตรียมตามวัตถุดิบที่มีในขณะนั้นหรือแล้วแต่ฤดูกาล มีทั้งหมด 4 อย่างด้วยกัน เริ่มจาก Sardine ปลาซาร์ดีนหั่นเต๋าชุบแป้งทอด เนื้อด้านในมีความนุ่มและลื่นคอ Foie Gras ฟัวกราส์เทอร์รีนกับเจลลี่มะม่วง ให้รสตัดกันระหว่างเค็มกับเปรี้ยวหวาน รองฐานด้วยขนมปังซาวเออร์โดกรอบๆ และ Strawberry Drop Gel เจลสตรอว์เบอร์รีรูปทรงคล้ายหยดน้ำ ได้สีแดงสดจากบีทรูท ต้องทานทั้งคำให้เจลนี้แตกโพละในปากเพื่อล้างรสชาติในปากก่อนที่จะเริ่มคอร์สแรก ส่วน Onion Coulis ครีมซุปรสเข้มข้นใส่มันฝรั่งเส้นเล็กทอด แฮมลูกเต๋า และเคอโบลชง (Reblochon) ชีสนุ่มจากฝรั่งเศสที่มีรสชาตินุ่มนวลและออกถั่วเล็กน้อย
ครีมซุปเอ็นไดฟ์ ใช้ผักที่มีรสขม ตัดด้วยความเค็มจากแฮมหั่นเต๋า และชีสโฟม
เมนูอาหารที่เรานำเสนอนี้เป็นเมนูมื้อกลางวัน ซึ่งมื้อกลางวันของ Le Normandie มีทั้งแบบอะลาคาร์ต และเซตเมนู Discovery Lunch (3 คอร์ส 1,800 บาท หรือ 4 คอร์ส 2,250 บาท) ซึ่งเหมาะกับคนที่อยากมาลองอาหารฝรั่งเศสระดับติดดาว แต่กลัวในราคาแพงหูฉี่ หากสั่ง 3 คอร์ส สามารถเลือกอาหารได้หมวดละ 1 อย่าง แต่ถ้าสั่ง 4 คอร์ส สามารถเลือกหมวดแรกได้ 2 จาน
คอร์สแรก Endive de Pleine Terre au Jambon ครีมซุปเอ็นไดฟ์ ผักชนิดหนึ่งที่มีรสขม ตัดด้วยความเค็มจากปารีสแฮมหั่นเต๋า และบิวฟอร์ดชีสโฟม แม้ซุปจะมีความขมนำ แต่ความครีมมี่ของชีสและความเค็มจากแฮมกลับช่วยให้ซุปข้นชามนี้เป็นตัวเลือกเริ่มต้นมื้อได้ดี และละเลียดได้ง่าย (แบบที่คนไม่เคยกินอาหารฝรั่งเศสก็รับประทานได้ง่าย)
ต่อด้วย Variation Autour des Produits de la Mer จานรวมมิตรอาหารทะเลชั้นเลิศที่เหมือนยกทะเลมาถึงโต๊ะกันเลยทีเดียว ประกอบด้วยทูน่า หมึกยักษ์ หอยลาย กุ้งคาราบิเนรอส (Carabineros) คาเวียร์ รวมถึงสาหร่ายทะเลและหน่อไม้ทะเล (Salicornia) แล้วโรยหน้าด้วยฮอร์สแรดิชกรานิต้า หม่ำแล้วสดชื่นอีกทั้งได้รสทะเลเต็มๆ รวมถึงความสดใหม่ที่รู้สึกได้ถึงคุณภาพวัตถุดิบที่นำมาใช้ว่าคัดสรรมาแล้วว่าเกรดเอ
เป็ดเทศย่างเนื้อฉ่ำกับมะเขือม่วงกงฟีต์สุดแสนจะฝรั่งเศส, ปลาพอลล็อกราดซอสเกรวี่ และ Crêpes Suzette สูตรดั้งเดิม
เราเลือกเมนคอร์ส Lieu Jaune de Ligne de Petit Bateau ปลาพอลล็อกราดซอสเกรวี่จากปลา เสิร์ฟพร้อมหน่อไม้ฝรั่งสีขาวเนื้อนุ่มและมะพร้าวโรยผงพริกรมควันกลิ่นหอมๆ พอลล็อกนั้นเป็นปลาประเภทเดียวกับปลาค็อดแต่เป็นสายพันธุ์เฉพาะจากแคว้นบริตตานี นำไปทำให้สุกและปรุงรสอย่างเรียบง่ายด้วยเกลือ เนื้อหวานนุ่มตามธรรมชาติแถมดีต่อสุขภาพอีกด้วย ส่วนใครที่ต้องการตัวเลือกนอกจากซีฟู้ด ลองสั่ง Canard de Barbarie Elevage Mieral เป็ดเทศย่างเนื้อฉ่ำกับมะเขือม่วงกงฟีต์ เนื้อผลเกรปฟรุต และกระเทียมดำ
คอร์สสุดท้าย แน่นอนว่าต้องได้ชิมของหวานขึ้นชื่อของ Le Normandie อย่าง Tarte au Citron เลมอนทาร์ตเสิร์ฟจากรถเข็นขนมส่งถึงโต๊ะ จากนั้นตักเมอแรงก์ใส่บนทาร์ตแล้วนำไปลนไฟอีกสักเล็กน้อย ตามด้วยการขูดผิวส้มและเปลือกผลไม้ซิตรัสเป็นอันตบท้าย ความเปรี้ยวหวานของเลมอนเข้ากันได้ดีกับชาร้อนสักถ้วยยามบ่าย
เลมอนทาร์ตอันลือชื่อเสิร์ฟจากรถเข็นขนมส่งถึงโต๊ะ
นอกจากนี้ยังมี Crêpes Suzette มหรสพของหวานสไตล์ฝรั่งเศสหรือเครปราดซอสส้มดีๆ นี่เอง มีการใส่เหล้ากร็องด์มาร์นิเยร์แล้วจุดไฟให้ลุกท่วมจานเพื่อให้รสชาติและกลิ่นของส้มชัดเจนยิ่งขึ้นแถมอร่อยกว่าเดิม เครปฝรั่งเศสนี้มาพร้อมไอศกรีมวานิลลาที่เชื่อว่าแม้จะไม่อินกับอาหารฝรั่งก็พบว่าอร่อยมัดใจแน่นอน
ก่อนที่จะจากกัน อย่าลืมลอง ควุนยามันน์ (Kouign-Amann) ขนมแป้งอบผิวหน้าแห้งกรอบให้รสหวานคาราเมล ซึ่งเป็นพาสทรีประจำแคว้นบริตตานีอันเขียวชอุ่ม และเป็นขนมที่เชฟชื่นชอบ นอกจากควุนยามันน์แล้ว ก็ยังมีดาร์กช็อกโกแลตกับลูกอมคาราเมลเม็ดเล็กให้เลือกล้างปากปิดท้ายมื้อกลางวันติดดาวนี้
ควุนยามันน์ ขนมแป้งกรอบหวานคาราเมล พาสทรีประจำแคว้นบริตตานีอันเขียวชอุ่ม กับช็อกโกแลตที่แน่นอนว่าทำเองทุกขั้นตอน
What You Should Know
- ที่ร้าน Le Normandie ต้องจองโต๊ะล่วงหน้าเท่านั้น และควรเผื่อเวลาจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ แต่หากคุณอยากได้โต๊ะวิวดีหันหน้าเข้าแม่น้ำเจ้าพระยา เราแนะให้กางปฏิทินรอสักหนึ่งเดือนหรือสองเดือนเป็นอย่างต่ำ
- การแต่งกายนั้นค่อนข้างเคร่งครัดตามแบบฉบับร้านอาหารหรูขึ้นชื่อ เราแนะนำให้สวมเสื้อเชิ้ตหรือโปโล กางเกงขายาวสีสุภาพ ยีนส์สีเข้มและไม่มีรอยขาด และรองเท้าผ้าใบหุ้มส้น ส่วนผู้หญิงมีเสื้อหรือผ้าคลุมติดไว้เป็นดี
- ไม่ต้องเกรงใจหรือเคอะเขินหากมีข้อสงสัย สามารถถามพนักงานทุกคนได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะขอคำแนะนำเลือกเมนูอาหาร จับคู่ไวน์ หรือเรื่องสัพเพเหระทั่วไป เพราะแม้จะเป็นร้านอาหารดาวรายในโรงแรม 5 ดาว แต่พนักงานของโอเรียนเต็ลก็ขึ้นชื่อเรื่องความน่ารักเอาใจใส่ แบบที่มาแล้วไม่มีผิดหวัง
- ขนมปังและเนยแสนอร่อยอบแบบฝรั่งเศสแท้ๆ นี้สามารถขอเพิ่มได้ตลอด แต่อย่าละเลียดจนลืมเผื่อพื้นที่กระเพาะสำหรับเมนคอร์สล่ะ
- ควรเผื่อเวลากินข้าว 2-3 ชั่วโมง เพราะอาหารจะเสิร์ฟเป็นคอร์สอย่างช้าๆ เพื่อให้แขกได้ดื่มด่ำอย่างเต็มที่
Le Normandie
Open: เปิดวันจันทร์-เสาร์ เวลา 12.00-14.00 น., 17.00-22.00 น.
Address: ชั้น 5 โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล
Budget: Discovery Lunch 3 คอร์ส 1,800 บาท หรือ 4 คอร์ส 2,250 บาท (ไวน์แพริ่งก็มีแพ็กเกจสำหรับ 2 แก้ว ราคา 950 บาท หรือ 3 แก้ว ราคา 1,350 บาท)
Contact: โทร 0 2 659 9000 ต่อ 7399
Map:
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
