หลายสัปดาห์ก่อน ข่าวคราวการปิดตัวของโรงภาพยนตร์สแตนด์อโลนอย่าง สกาลา ได้กลับมาคอนเฟิร์มอย่างเป็นทางการ อาจจะด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลงวิธีการรับชมภาพยนตร์ของผู้คน สภาพเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึงโรคระบาดอย่างโควิด-19 ทำให้การยืนหยัดของโรงหนังเก่าแก่โรงนี้ต้องสิ้นสุดลง
ในโอกาสการอำลาสกาลานี้ ทางหอภาพยนตร์ได้จัดโปรเจกต์พิเศษที่ชื่อ ลา สกาลา (La Scala) โดยจะเป็นการจัดฉายหนัง 4 เรื่องคือ Blow Up, The Scala, นิรันดร์ราตรี และ Cinema Paradiso เพื่อปิดท้ายตำนานประสบการณ์ในโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่แห่งนี้ สิ่งที่น่าสนใจมากๆ คือ บรรยากาศวันแรกของการจองตั๋วหนังของโปรเจกต์นี้อยู่ระดับที่เรียกว่าปรากฏการณ์ คิวต่อแถวซื้อตั๋วยาวจากบ็อกซ์ออฟฟิศไถลทะลุไกลไปจนถึงหลังโรง บางคนต้องรอ 3 ชั่วโมงกว่าจะได้บัตร ผู้คนมากมายยืนรอเพื่อจะเป็นส่วนหนึ่งของอีเวนต์นี้
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับสถานการณ์ที่เกิดกับโรงภาพยนตร์ทั่วไปที่ยังคงเงียบเหงาไร้ผู้คน หนังใหม่เปิดตัวในแต่ละสัปดาห์ได้ไม่ถึง 1 ล้านบาท หนังฮอลลีวูดบล็อกบัสเตอร์มากมายยังคงเลื่อนฉายไปเรื่อยๆ กระทั่งหนังอย่าง Tenet ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ก็ยังไม่กล้าเสี่ยงกับสภาวะที่คนดูยังลังเลว่าจะเข้าโรงหนังดีไหม แม้ว่าหนังของโนแลนจะถือได้ว่าดูดีมีศักยภาพและเป็นหัวหอกแห่งการดึงคนดูกลับเข้ามาในโรง แต่สตูดิโอฝรั่งเองก็ยังไม่แน่ใจในจุดนี้ โควิด-19 ยังคงเอาชนะโนแลน มู่หลาน และเจมส์บอนด์อย่างราบคาบ
แม้ปรากฏการณ์บัตร Sold Out ทุกรอบ ทุกเรื่องของโปรเจกต์ลา สกาลานี้อาจจะยังไม่สามารถใช้สรุปเหตุการณ์อะไรได้ แต่มันก็ทำให้เราเห็นอะไรบางอย่างด้วยเช่นกัน
- ถ้าหนังน่าดู คนก็ไม่กลัวโควิด-19
บัตร Sold Out ในโรงหนังที่มีจำนวนที่นั่งประมาณ 900 ที่นั่ง กับภาพยนตร์ความยาวประมาณ 2 ชั่วโมงเต็ม ทำให้ผมจินตนาการสภาพภายในของโรงหนังยามหนังกำลังฉาย มันดูน่าประทับใจนะครับกับการที่โรงหนังขนาดใหญ่คนดูเต็มขนาดนี้ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ค้านกับกฎ Social Distancing เกือบทุกข้อ มันคือความแออัดระดับนั่งเครื่องบินทีเดียว แต่ก็นั่นแหละ ผู้คนอาจจะลืมไปสักพักในเรื่องเหล่านี้ ถ้าหากหนังบนจอหรือประสบการณ์ในโรงภาพยนตร์พิเศษพอสำหรับพวกเขา และนั่นก็อาจจะเป็นไปได้ว่าการที่คนไม่ได้เข้าโรงหนังในช่วงที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะหนังที่เข้าโรงนั้นไม่มีอะไรใหญ่พอหรือน่าสนใจพอที่จะดึงดูดพวกเขาให้ไปดู
หลังจากนั่งคิดต่อสักพัก ข้อสังเกตนี้อาจจะถูกล้มอีกทีด้วยเรื่องความที่มันฉายอยู่โรงเดียวในระยะเวลาอันสั้นมาก ทำให้เกิดการรวบยอดคนดูทั้งหมดมาจบที่โรงโรงเดียว ทำให้เกิดการ Sold Out ได้อย่างไม่ยาก แต่ถ้าหากหนังกระจายฉายตามโรงทั่วๆ ไปหลายร้อยโรงเหมือนหนังทั่วๆ ไป คนดูต่อหนึ่งรอบก็อาจจะไม่เยอะเท่านี้ ภาพรวมของทั้งโปรแกรมฉายก็อาจจะไม่ต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ ที่กำลังเข้าในช่วงนี้เท่าไรนัก ว่าง่ายๆ คือ ทฤษฎี ‘ถ้าหนังน่าดู คนก็จะมาดูเอง’ อาจจะไม่จริงก็ได้ การ Sold Out ครั้งนี้อาจจะเป็นแค่เหตุการณ์เฉพาะกิจ
แต่เรื่องการที่คนที่มาจองตั๋วได้มาเจอการรวมกลุ่มขนาดใหญ่หน้าโรง แต่ก็ยังพอใจจะซื้อตั๋วดูอยู่ดี ก็ยังเป็นสิ่งที่พิเศษอยู่ แปลว่าเขารู้อยู่แล้วว่าคนจะแน่นมากๆ แต่พวกเขาก็ยังอยากมาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์แนว ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต’ มากกว่าการดูหนังก็เป็นได้ จึงเป็นที่มาของข้อสังเกตอีกข้อ
- อีเวนต์ฟิล์ม
ความเป็นอีเวนต์ฟิล์มนั้น เป็นการเอาตัวหนังมาผสมกับความรู้สึกร่วมนอกหนัง เช่น กระแสอันยิ่งใหญ่แบบมาร์เวล ที่ต่อให้คุณไม่ติดตามมาร์เวล แต่มันคือมาร์เวล Avengers: Endgame มันไม่ใช่หนังปกติ แต่มันคือคัลเจอร์ มันคือหนังรวบยอดความพีกของวัฒนธรรมมาร์เวลเลย มันต้องดูแล้ว ไม่ต้องตั้งคำถามเลย เทรลเลอร์เป็นอย่างไรไม่สน รีวิวดีหรือไม่ดี จะเป็นแฟนหนังหรือไม่เป็นแฟนหนัง อย่างไรก็ต้องดู A Must มาก ความรู้สึกเหล่านี้อาจจะยิ่งใหญ่กว่าเนื้อหนังก็เป็นได้ เหมือนรักใครสักคนไปแล้ว ดีเทลที่ขัดใจจุบจิบก็ข้ามๆ ไปได้ เดี๋ยวว่ากัน
ต้องยอมรับว่าในความสำเร็จของอีเวนต์สกาลานี้ ก็จะมีคนบ่นเสียดายว่า “แหม ถ้ารอบปกติมาดูกันแบบนี้โรงก็ไม่ต้องปิดหรอก” ดังนั้นมันทำให้เห็นชัดว่า ความเป็นอีเวนต์และมีวาระพิเศษของโปรเจกต์นี้ เป็นจุดที่ทำให้คนยอมไปต่อแถวซื้อตั๋วเพื่อดูหนังรอบสุดท้ายในโรงให้ได้ ทฤษฎีอีเวนต์ฟิล์มแบบมาร์เวลก็ดูจะเป็นจริงขึ้นมาในทันทีเหมือนกัน นั่นหมายความว่าการคิดภาพยนตร์พร้อมอีเวนต์นั้นอาจจะเป็นอีกหนึ่งทางรอดของการดึงคนกลับมาที่โรงภาพยนตร์ก็เป็นได้ คือคุณมีหนังแล้ว คุณต้องมีวาระนอกหนังมาเสริม เป็นการเพิ่มอาวุธเสริมในการพาคนกลับมายังโรงภาพยนตร์
ในขณะเดียวกันโรงภาพยนตร์อื่นๆ ก็มีความพยายามที่จะทำอีเวนต์แบบนี้เช่นกัน เร็วๆ นี้เราก็จะมี Drive-in Cinema ให้ผู้คนได้ทดลองไปชมกัน ซึ่งดูอาการแล้วคนอาจจะอยากลองความเป็น Drive-in มากกว่าตัวหนังที่ฉายมากกว่า ถึงมันจะเป็นแบบนั้น แต่อย่างน้อยมันอาจจะค่อยๆ ทำให้คนลืมโควิด-19 ไปสักแป๊บ และค่อยๆ กลับมาชินกับโรงหนังได้แบบเดิม
อีเวนต์ ลา สกาลา อาจจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ทำให้พวกเราคนดูหนังและพวกผมคนทำหนัง ได้เห็นเส้นทางและความเป็นไปได้ต่างๆ มากขึ้น ในวันเวลาที่มองไปข้างหน้าแล้ว นอกจากจะไม่เห็นอะไรเท่าไรแล้ว ยังรู้สึกว่าไอ้ที่พอจะเห็นวันนี้ พรุ่งนี้ก็อาจจะกลายเป็นอย่างอื่นไปเลยอย่างง่ายดาย
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า