×

KBTG ผู้อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยี Facial Recognition การยืนยันตัวตน (e-KYC) ด้วยใบหน้าผ่านตู้บุญเติม [Advertorial]

15.07.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

2 mins. read
  • เร็วๆ นี้ ตู้บุญเติมกำลังจะเปิดให้บริการยืนยันตัวตน (e-KYC) โดยการใช้เทคโนโลยี Facial Recognition หรือเทคโนโลยียืนยันตัวตนด้วยใบหน้า ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวก ไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา และไม่ต้องเซ็นเอกสาร ที่สำคัญยังลดความเสี่ยงจากการติดโควิด-19
  • โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยี Facial Recognition คือ บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG ซึ่งมีจุดแข็งตรงที่พัฒนาแบบ Localization ซึ่งได้พัฒนาขึ้นมาเอง และมีการทดสอบกับใบหน้าที่เป็นคนไทยโดยเฉพาะ จึงมั่นใจได้ถึงความถูกต้องและแม่นยำ

เร็วๆ นี้ ‘ตู้บุญเติม’ กำลังจะเปิดให้บริการยืนยันตัวตน (e-KYC) โดยการใช้เทคโนโลยี Facial Recognition หรือเทคโนโลยียืนยันตัวตนด้วยใบหน้า ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค ไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา ทั้งยังลดความเสี่ยงจากการติดโควิด-19 อันเป็นเรื่องใหญ่ที่หลายคนกำลังกังวล

 

ขั้นตอนการยืนยันตัวตนก็ง่ายแสนง่าย เพียงเดินไปที่ตู้บุญเติมใกล้บ้านเพื่อ Dip-Chip ด้วยบัตรประชาชน และถ่ายภาพที่หน้าตู้ ระบบ Facial Recognition จะเปรียบเทียบใบหน้าจากบัตรประชาชนกับภาพที่ถ่าย เพื่อตรวจสอบและยืนยันตัวตนการสมัครบริการ 

 

จากนั้นจะส่งผลตอบกลับยังผู้บริโภค โดยที่ช่วยประหยัดเวลา ไม่ต้องมีการเซ็นเอกสารหรือถ่ายสำเนาบัตรประชาชนเลย นับเป็นการแก้เพนพอยต์ของผู้คนจำนวนไม่น้อยยามต้องทำธุรกรรมต่างๆ 

 

หลายคนอาจไม่รู้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้ง่ายแสนง่ายนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยคนไทย และผู้ที่พัฒนานั่นคือ บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG

 

 

โดยก่อนจะนำมาใช้ในตู้บุญเติม เทคโนโลยี Facial Recognition ของ KBTG ถูกใช้งานก่อนแล้วในธนาคารกสิกรไทย สำหรับการเปิดบัญชีและยืนยันตัวตน 

 

สิ่งที่เป็นจุดแข็งของ Facial Recognition ของ KBTG คือการพัฒนาแบบ Localization ซึ่งได้พัฒนาขึ้นมาเอง และมีการทดสอบกับใบหน้าที่เป็นคนไทยโดยเฉพาะ จึงมั่นใจได้ถึงความถูกต้องและแม่นยำ

 

สำหรับเรื่องความปลอดภัยหายห่วงได้เลย เพราะก่อนจะนำมาใช้งานจริง ได้มีการเข้าสู่ Sandbox หรือการทดสอบซอฟต์แวร์ใหม่ โดยให้อยู่ในขอบเขตที่จำกัดของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีความเข้มงวดในการตรวจสอบความถูกต้อง 

 

จริงๆ แล้วเทคโนโลยี Facial Recognition นับว่ามีความปลอดภัยอยู่ไม่น้อย หากจะเทียบให้เห็นภาพคือ เทคโนโลยี Facial Recognition จะตรวจจับจุดบนใบหน้า 512 จุด ซึ่งแต่ละจุดเปรียบเสมือนพาสเวิร์ด 1 ตัว แปลว่ามีโอกาสยากมากที่จะถูกปลอมแปลงรหัสทั้ง 512 ตัวพร้อมๆ กัน 

 

ขณะเดียวกันมีการเก็บข้อมูลอย่างแน่นหนา และจัดทำระบบไม่ให้สามารถสืบย้อนไปถึงเข้าของใบหน้าได้ โดยก่อนที่เทคโนโลยี Facial Recognition จะถูกนำไปใช้กับตู้บุญเติมนั้นได้มีการขออนุญาตจากทางธนาคารแห่งประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว 

 

 

อย่างไรก็ตาม เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง KBTG กับบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือตู้บุญเติม ในการทำ e-KYC ด้วยใบหน้า ได้อย่างน่าสนใจว่า 

 

“สมัยก่อนทุกคนบอกว่าทำทุกอย่างบนมือถือได้ก็เพียงพอแล้ว แต่อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน สำหรับลูกค้าแล้วเราต้องอยู่ทุกที่ ทุกเวลา นั่นหมายความว่า ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ตรงไหน ณ ช่วงเวลาใดก็ตาม เราต้องอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเราจะเสียลูกค้าไป ซึ่งนี่เป็นโลกที่ธนาคารต้องเข้าไปอยู่ให้ได้

 

“ต่อไปธนาคารเราไปคนเดียวไม่ได้ เราต้องจับมือไปกับพาร์ตเนอร์ด้วย เมื่อไปด้วยกันแล้วจะมีการ Synergy ระหว่างกัน โลกในอนาคตต้องเป็นแบบนี้ แต่ละคนไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ฉะนั้นเราต้องเชื่อมความเก่งซึ่งกันและกัน”

 

 

เบื้องต้นการทำ e-KYC ด้วยใบหน้าบนตู้บุญเติมจะสามารถทำได้ 1,300 ตู้ จากตู้ทั้งหมด 130,000 ตู้ทั่วประเทศ โดยตู้ที่บุญเติมคัดเลือกมานั้นส่วนใหญ่จะตั้งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นทำเลที่มีผู้คนพลุกพล่าน โดยจะกระจายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

 

ในอนาคตจะมีการขยายไปสู่กลุ่มของธุรกิจประกันและการลงทุน พร้อมกับมีการแย้มว่าต่อไปอาจถึงขั้นชำระเงินโดยที่ไม่ต้องใช้บัตร โดยอ่านเพียงใบหน้าก็สามารถยืนยันตัวตนได้

 

นับเป็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เข้ามาอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของเราอยู่ไม่น้อย

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising